เตือนฟองสบู่แตกแบบวิกฤติซับไพร์มแม้เสี่ยง "โอมิครอน" ระบาดฉุดเศรษฐกิจโลก

26 ธ.ค. 2564 | 07:05 น.

เตือนฟองสบู่แตกแบบวิกฤติซับไพร์มแม้เสี่ยง โอมิครอน ระบาดฉุดเศรษฐกิจโลก อนุสรณ์ชี้มีฟองสบู่ในตลาดการเงินโลกที่สะสมมาอย่างยาวนานตลอดช่วงเวลาของการใช้มาตรการ QE

นายอนสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า สัญญาณฟองสบู่แตกแบบวิกฤตการณ์สินเชื่อซับไพร์มอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตแม้มีความเสี่ยงโอมิครอน (Omicron) ระบาดระลอกใหม่ชะลอเศรษฐกิจโลกก็ตาม 
ทั้งนี้ ฟองสบู่ในตลาดการเงินโลกที่สะสมมาอย่างยาวนานตลอดช่วงเวลาของการใช้มาตรการ QE กระตุ้นเศรษฐกิจ สภาพคล่องล้นเกินเหล่านี้ได้ไหลเข้าสู่ตลาดการเงินมากกว่าภาคการผลิตและภาคเศรษฐกิจจริงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตลาดการเงินยังไม่มีปรับฐานครั้งใหญ่แต่อย่างใดยกเว้นในปี พ.ศ. 2563 อันเป็นผลกระทบจากการล็อกดาวน์
หนี้สาธารณะมหาศาลของประเทศพัฒนาแล้ว ตลอดจนการขยายตัวของการลงทุนแบบเก็งกำไรใน คริปโตเคอร์เรนซี่ และ สินทรัพย์ดิจิทัลอาจก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกรุนแรงและเกิดฟองสบู่ตลาดการเงินแตกได้ในช่วงปี พ.ศ. 2565-2566 ได้ การทยอยลดมาตรการ QE จะช่วยลดฟองสบู่ในตลาดการเงินได้บ้างแต่ไม่เพียงพอในหยุดยั้งวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

และการเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา อังกฤษ (ปรับดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว) หรือ ประเทศพัฒนาอื่นๆ จะทำให้ภาคการผลิตและภาคเศรษฐกิจแท้จริงได้รับผลกระทบในช่วงฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโควิด ความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดการเงินในปีหน้าเป็นสิ่งที่นักลงทุนรวมทั้งธนาคารกลางประเทศต่างๆต้องเตรียมรับมือความท้าทายดังกล่าวให้ดี ขณะเดียวกันความผันผวนอย่างรุนแรงนี้อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์และโอกาสได้พร้อมกัน
อย่างไรก็ดี การลด QE และขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้วอาจไม่สามารถหยุดภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงินได้ จึงเสนอเก็บภาษีทุนในระดับโลกเพื่อลดความผันผวนและความเสี่ยงฟองสบู่ของตลาดการเงินโลก รวมทั้ง ลดความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาลในระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ในยุคการแพร่ระบาดของโควิดและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการเงิน 
โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนแบบใหม่ได้ทำให้คนกลุ่มเล็กๆเจ้าของบริษัทไฮเทคครอบครองตลาดและสามารถก้าวข้ามผ่านกฎระเบียบอันล้าสมัยสร้างผลกำไรโดยไม่ต้องเสียภาษีในหลายประเทศทั่วโลก การจัดระเบียบกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีความจำเป็นต่อการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม 

และป้องกันฟองสบู่แตกรุนแรงในอนาคต ทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ไม่น่าจะเป็นสภาวะที่ยาวนาน เพราะราคาพลังงานจะไม่สูงเช่นในอดีตจากอุปสงค์การใช้พลังงานจากการเดินทางยังอ่อนแอ ขณะที่นวัตกรรทางพลังงานได้สร้างทางเลือกให้เกิดอุปทานของพลังงานมากมาย หากเศรษฐกิจใดไม่มีสัญญาณของการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจเลยจะเผชิญสภาวะ Stagflation ทันที คือ เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะงักงันชะลอตัว ว่างงานสูง ภาวะ Stagflation เป็นสภาพที่แก้ไขยากเพราะหากใช้นโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายมากเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ว่างงานสูง ก็จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อได้
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ระบบรัฐสวัสดิการ และ ระบบภาษีในอัตราก้าวหน้า ใน ศตวรรษที่ 20 คือ ข้อค้นพบทางด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ ในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชน สร้างความมั่นคงให้ระบบการเมืองและเกิดสังคมสันติธรรม ภายใต้พลวัตของสิ่งต่างๆโดยเฉพาะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการเงินในศตวรรษที่ 21 การเก็บภาษีทุนในระดับโลกแบบอัตราก้าวหน้า 

อนุสรณ์ ธรรมใจ
พร้อมกับการพัฒนาระบบและกลไกให้เกิดความโปร่งใสในระบบการเงินระหว่างประเทศ จะลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศต่างๆและความเหลื่อมล้ำระหว่างชาติร่ำรวยและชาติยากจนอีกด้วย ระบบและกลไกดังกล่าวจะทำให้การกระจุกตัวของทุนขนาดยักษ์ใหญ่และผลกำไรมหาศาลเกินจุดดุลยภาพลดลง ทุนนิยมโลกาภิวัตน์จะมีลักษณะเป็นเศรษฐกิจดุลยธรรมมากขึ้น 
หากไม่เก็บภาษีตลาดทุนโลกในภาวะความเหลื่อมล้ำของโลกอยู่ในระดับสูงสุดเช่นนี้ เราจะเห็นการย้อนกลับของโลกาภิวัตน์ หรือ เกิดกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์และต่อต้านระบบการค้าเสรีของกลุ่มชาตินิยมในประเทศต่างๆ ด้วยการกีดกันทางการค้า (Trade Protectionism) 
หรือแม้กระทั่งใช้วิธีการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนแบบบังคับ (Capital Control) การเก็บภาษีทุนโลกจะรักษาระบบการค้าเสรีของโลกเอาไว้พร้อมการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย 
รวมทั้งยังจะช่วยกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและระหว่างประเทศให้เป็นธรรมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาษีทุนโลกจะช่วยประคับประคองให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่จุดดุลยภาพที่เหมาะสมอันเป็นผลดีต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพในระยะยาว
การเก็บภาษีทุนในระดับโลกจะเกิดขึ้นได้ในเบื้องต้นเลย ต้องเกิดความร่วมมือของสถาบันการเงิน สถาบันการลงทุนต่างๆและธนาคารกลางของประเทศต่างๆในการทำให้เกิด การแบ่งปันข้อมูลธุรกรรมทางการเงินแบบอัตโนมัติ ธุรกรรมการลงทุน ผลกำไรต่างๆ ผ่านระบบที่ขอเรียกว่า Global automatic sharing of bank and financial data ก่อน ความโปร่งใสทางการเงินและแบ่งปันข้อมูลทางการเงินจะทำให้เราสามารถเก็บภาษีทุนโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 
และจะทำให้ตระหนักว่า อภิมหาเศรษฐี หรือ Super Rich 1% และ 10% ของโลกนั้นยังเสียภาษีให้กับโลกและประเทศต่างๆที่คนเหล่านี้เป็นพลเมืองอยู่น้อยเกินไป (ซึ่งอภิมหาเศรษฐีหลายท่านก็มีหลายสัญชาติอีกต่างหาก)
เวลานี้ คนยากจนในประเทศยากจนสุดกำลังจะอดตายจำนวนหลายล้านคน คนในแอฟริกาจำนวนมากไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้นเข็มเดียว ทั้งทวีปแอฟริกามีอัตราการการฉีดวัคซีนไม่ถึง 10% หากยังเป็นแบบนี้การระบาดโควิดจะยืดเยื้อมากและกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ การเรียกร้องให้บริจาคอาจไม่เพียงพอ 
ควรเก็บภาษีทุนโลก และมีทรัพย์สินจำนวนมากกองกระจุกอยู่ในกลุ่มคนเล็กๆซึ่งควรนำมาหมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รายได้ให้นำไปมอบให้องค์การอนามัยโลก องค์การยูนิเซฟ หรือ ธนาคารโลกเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกผู้เดือดร้อนโดยด่วน