“พาณิชย์”ชี้ครึ่งปีแรก จดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่พุ่ง26.59%

04 ส.ค. 2564 | 05:14 น.

“พาณิชย์” ชี้กระแสคนไทยใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มส่งผลยอดจดตั้งธุรกิจโฆษณาใหม่ครึ่งปีแรกพุ่ง 557 ราย ขยายตัว 26.59% ประกอบกับภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล แนะเอสเอ็มอี ผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ ใช้เป็นช่องทางสื่อสารถึงลูกค้า

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้านและเรียนออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้การใช้งานระบบออนไลน์ การใช้โซเชียลมีเดีย และการรับชมทีวีผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การโฆษณาผ่านช่องทางเหล่านี้ จึงโตตาม
โดยข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ในช่วง 6 เดือนปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) ธุรกิจโฆษณามีจำนวนการจดทะเบียนใหม่ทั้งสิ้น 557 ราย เพิ่มขึ้น 26.59% มีทุนจดทะเบียน 893.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.39% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีของธุรกิจโฆษณาในประเทศไทย โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านดิจิทัล 

“พาณิชย์”ชี้ครึ่งปีแรก  จดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่พุ่ง26.59%

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนธุรกิจโฆษณาดิจิทัลให้มีอัตราการเติบโต คือ ภาคธุรกิจสามารถเลือกช่องทางการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น มีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว และการมีเทคโนโลยีที่สามารถรองรับให้ผู้บริโภคเปิดรับสื่อได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียที่มีการเติบโตของการลงเงินโฆษณาถึง 20%

โดยสื่อดิจิทัลที่มีเม็ดเงินลงทุน ได้แก่ Facebook 32% , YouTube 23% และ TikTok มีแนวโน้มการเติบโตสูงอยู่ที่ 21% โดยการลงทุนในแต่ละสื่อมีมูลค่าเม็ดเงินสูงถึงพันล้านบาท

สำหรับการโฆษณาทางโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน มีความเหมาะสมกับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่องทางการสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างสะดวกรวดเร็วและใช้เงินลงทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นลำดับแรก การเลือกช่องทางการสื่อสาร การเลือกช่วงเวลา และความถี่ที่เหมาะสม รวมทั้งการคิดนอกกรอบในการสร้างสรรค์สื่อโฆษณา เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายเข้าใจในคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของลูกค้าได้อย่างแท้จริง จะทำให้ธุรกิจโฆษณาสามารถอยู่รอดในตลาดและสามารถแข่งขันได้อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน
         
ปัจจุบัน มีธุรกิจโฆษณาที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 10,293 ราย คิดเป็น 1.28% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินกิจการอยู่ และมูลค่าทุนรวม 52,668.81 ล้านบาท คิดเป็น 0.27% ของมูลค่าทุนธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด จำนวน 8,868 ราย คิดเป็น 86.15% มูลค่าทุนรวม 43,541.39 ล้านบาท คิดเป็น 82.67% โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ จำนวน 6,365 ราย คิดเป็น 61.84% รองลงมา คือ ภาคกลาง 1,990 ราย คิดเป็น 19.33% ภาคเหนือ 598 ราย คิดเป็น 5.81% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 435 ราย คิดเป็น 4.23% ภาคใต้ 426 ราย คิดเป็น 4.14% ภาคตะวันออก 368 ราย คิดเป็น 3.58% และภาคตะวันตก 111 ราย คิดเป็น 1.08% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจโฆษณาในไทย มีมูลค่าการลงทุนจำนวน 3,804.31 ล้านบาท คิดเป็น 7.23% ของการลงทุนในธุรกิจโฆษณา โดยสัญชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อเมริกัน 1,689.05 ล้านบาท คิดเป็น 3.21% จีน 408.70 ล้านบาท คิดเป็น 0.78% และเยอรมัน 345.70 ล้านบาท คิดเป็น 0.66%
         
 

ส่วนสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือของผู้ใช้งานอายุระหว่าง 16-64 ปี ในประเทศไทย พบว่า มีการใช้งานเฉลี่ย 5.07 ชั่วโมงต่อวัน มากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก และหากนับรวมการใช้อินเทอร์เน็ตทั้งระบบ คนไทยมีการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 41% ของการใช้เวลาภายใน 1 วัน ดังนั้น ภาคธุรกิจจึงให้ความสำคัญและหันมาประกอบธุรกิจ ทำการตลาดบนโลกออนไลน์มากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัล ปี 2563 ของสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ที่ภาคธุรกิจมีการใช้งบประมาณซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลมูลค่าสูงถึง 21,058 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2562 (19,555 ล้านบาท) และข้อมูลของบริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด ทั้งนี้ใน ช่วงครึ่งปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางรวมแล้วจำนวน 53,640 ล้านบาท