พิษ“โคโรนา”ลามเศรษฐกิจฐานราก สุ่มสำรวจสถานะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ ขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินชำระหนี้ สินค้าค้างสต็อกไม่มีที่ขาย ล่าสุดสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยชงข้อมูลถึงสสว.ต้องการความช่วยเหลือด่วน
นางสาวโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เมื่อเร็วๆนี้ทางสมาพันธ์ฯได้สุ่มสำรวจเสียงจากสมาชิกจำนวนหนึ่งเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว หลังรับศึกหนักจากปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในขณะนี้ แล้วนำเสนอไปยังสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป
การสุ่มสำรวจตัวอย่างจากกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากทั้งหมด 51ราย มีรายขาดทุนหมุนเวียน 38 รายหรือคิดเป็น 74.5% และเป็นกลุ่มที่ไม่มีเงินชำระหนี้ 27 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 52.9% เป็นกลุ่มที่แจ้งว่าสินค้าค้างสต็อกไม่มีที่ขาย 12 ราย หรือคิดเป็น 23.% และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่สะท้อนว่ายอดขายในช่วง 2 เดือนที่เกิด ลดลงแล้ว 42 รายหรือ 82.4% ส่วนอื่นๆก็จะเป็นกลุ่มที่ไม่มีวัตถุดิบผลิตและมีปัญหาต้นทุนการผลิตและต้นทุนการบริหารจัดการ
โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ
ส่วนสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการความช่วยเหลือจากการสุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการจำนวน 52 ราย พบว่า 30 รายหรือสัดส่วน 57.7% ขอหยุดพักชำระหนี้ รองลงมา 25 คน หรือ 48.1%อยากให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบ ต้องการลดต้นทุน เช่น ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม 21 ราย หรือสัดส่วน 40.4% นอกจากนั้นจะเป็นเรื่องของความช่วยเหลือด้านหาแหล่งวัตถุดิบทดแทนราคาถูก เรื่องขาดแดคลนแรงงาน การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นต้น
ด้านดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานกิตติมศักดิ์ สมาพันธ์ SME ไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการภาครัฐต้องแบ่งเป็น 2 ระยะ คือระยะที่ COVID-19 กำลังระบาด รัฐก็ต้องเลี้ยงและ ดูแลคนที่กำลังใกล้หมดแรง แต่เน้นไปที่มาตรการด้านการควบคุมโรค ส่วนระยะที่ 2 คือระยะฟื้นตัวหลังควบคุม COVID-19 ได้แล้ว ก็ต้องกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ รัฐต้องออกมาตรการลด แลก แจก แถมขนานใหญ่ในช่วงนี้