นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ขณะนี้กลุ่มนายจ้าง หรือผู้ประกอบการอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากเผชิญปัญหารุมเร้ามาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดในภูมิภาค ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งยากขึ้น มาสู่สงครามการค้าจีน-อเมริกา และต่อเนื่องมาถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา เดิมที่ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นก็กระทบคำสั่งซื้ออยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งขยายวงกระทบไปถึงภาคท่องเที่ยว และกำลังซื้อของประชากรในโลกลดลง เพราะที่ไม่กล้าออกมาจับจ่ายซื้อของ โดยผลกระทบจากโคโรนามีแนวโน้มลากยาวถึงปลายปี2563
ล่าสุดสิ่งที่น่ากังวลในภาคการผลิตคือ ขณะนี้หลายรายเหลือวัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิต ไม่เกินเดือนเมษายนนี้ เพราะระยะหลังผู้ประกอบการไม่กล้าสต๊อกวัตถุดิบไว้นานหลายเดือนเพราะเป็นภาระต้นทุน ส่วนใหญ่จะสต๊อกไว้ 2 สัปดาห์ถึง1 เดือน โดย 27% ไทยนำเข้าวัตดิบจากจีนในลักษณะห่วงโซอุปทาน เมื่อสต๊อกวัตถุดิบขาดมือ การเดินเครื่องจักรก็สดุดลง ทำให้เกิดปัญหาในการส่งมอบสินค้า
“มองในแง่ผู้ประกอบการคำสั่งซื้อลดลงหรือหายไป แต่ฟิกซ์คอสต์ เช่น การชำระหนี้ต่อเดือนต่อปี ค่าเช่าอาคารสำนักงาน ค่าจ้างแรงงาน และพนักงานประจำออฟฟิตยังเป็นภาระ แต่รายได้ลดลง และถ้าผลกระทบลากยาว 6-7เดือน คนที่มีสายป่านยาวก็คงเจ็บตัวได้เหมือนกัน ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการสายป่านสั้นคงไม่ต้องพูดถึงจะมีทั้งปิดกิจการ ลดการผลิต เลิกจ้างเกิดขึ้นต่อเนื่องแน่นอน ซึ่งขณะนี้มีบางรายสั่งหยุดงานชั่วคราวและจ่ายเงินเดือนให้ 75% ของเงินเดือนปกติ บางรายเปิดโครงการสมัครใจลาออก บรรยากาศแบบนี้จะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าวิกฤติลากยาวต่อไป”
ล่าสุดเริ่มเห็นผู้ประกอบการบางรายเดินสายเจรจากับเจ้าหนี้(สถาบันการเงิน) เพราะธนาคารก็กลัวเกิดหนี้เสีย ขณะที่ผู้ประกอบการต้องการต่อรองยืดหนี้ ชะลอการส่งเงินต้น หรือขอพักชำระหนี้เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้
นายธนิตกล่าวอีกว่า ผ่านมาเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจล้วนอยู่ในสภาพอ่อนแอ ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการจ้างงานสะท้อนจากรายงานเศรษฐกิจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 ของปีที่แล้วขยายตัวได้เพียง1.6% เป็นระดับต่ำสุดในรอบห้าปีเศษ ทำให้ปีที่แล้วทั้งปีขยายตัวได้เพียง 2.4% จากเดิมคาดว่าจะโตได้ 2.7 – 3.7% เป็นการขยายตัวต่ำสุดนับจากปีพ.ศ.2557 มีการปรับเป้าประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีพ.ศ.2563 คาดว่าจะขยายตัวค่าเฉลี่ย 2.0%แต่โอกาสสูงที่จะขยายตัวได้เพียง 1.5 %