“ทรัมป์ VS ไบเดน” ดีเบตรอบสุดท้าย ชี้ชะตาเลือกตั้งปธน.สหรัฐ

23 ต.ค. 2563 | 04:14 น.

การดีเบตรอบสุดท้ายระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต เปิดฉากขึ้นแล้วในวันพฤหัสบดี เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้านี้ เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการประชันวิสัยทัศน์เพื่อให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ใช้ในการตัดสินใจว่าจะเลือกใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้งวันที่ 3 พ.ย.นี้

 

การดีเบต หรือ โต้อภิปรายแสดงวิสัยทัศน์รอบสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ครั้งนี้จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเบลมอนต์ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี โดยมีคริสเทน เวลเกอร์ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี (NBC) เป็นพิธีกร แท่นดีเบตของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโจ ไบเดน ตั้งห่างกัน 12 ฟุต 8 นิ้ว (ราว 3.86 เมตร) และห่างจากผู้ดำเนินรายการ 16 ฟุต 8 นิ้ว (ราว 5 เมตร) ทุกคนในสถานที่ดีเบตต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รวมทั้งเมลาเนีย ทรัมป์ สตรีหมายเลขหนึ่งที่มาให้กำลังใจปธน.ทรัมป์

“ทรัมป์ VS ไบเดน” ดีเบตรอบสุดท้าย ชี้ชะตาเลือกตั้งปธน.สหรัฐ

กติกาและหัวข้อการดีเบต

หลังการแนะนำตัวคู่ดีเบตขึ้นเวที แต่ละคนจะมีเวลาพูด 2 นาทีในแต่ละหัวข้อ ระหว่างนั้นไมโครโฟนของอีกคนจะถูกปิด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พูดก่อนในหัวข้อแรกเรื่องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19

 

หัวข้อในการแสดงวิสัยทัศน์ในการดีเบตรอบนี้ มี 6 หัวข้อ ได้แก่ การแก้ปัญหาโควิด-19 ภาวะการเป็นผู้นำสหรัฐ ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติในสหรัฐ การแก้ไขปัญหาโลกร้อน รวมถึงประเด็นด้านความมั่นคงแห่งชาติ และภาคครัวเรือนในสหรัฐ

 

สื่อรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตได้เสนอวิสัยทัศน์ที่สวนทางกันอย่างมากในการดีเบตรอบสุดท้ายนี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ฝ่ายปธน. ทรัมป์ประกาศว่าไวรัสกำลังจะหมดไป ขณะที่ไบเดนเตือนว่า สหรัฐกำลังจะเข้าสู่ "ฤดูหนาวที่มืดมิด"เนื่องจากการแพร่ระบาดจะพุ่งสูงขึ้น

“ทรัมป์ VS ไบเดน” ดีเบตรอบสุดท้าย ชี้ชะตาเลือกตั้งปธน.สหรัฐ

สกัดโรคไม่ได้ก็ออกไป

นายไบเดนประกาศลั่นว่า "ใครก็ตามที่ต้องรับผิดชอบกับการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมากนั้น ไม่ควรจะยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา"

 

แต่ทรัมป์ก็ได้พูดปกป้องประสิทธิภาพของมาตรการรับมือโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤตสุขภาพครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษทั้งของสหรัฐและของโลก โดยไม่สนใจคำเตือนของไบเดนที่ว่าสหรัฐมีแนวโน้มจะเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายหนักขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเนื่องจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปธน.ทรัมป์ได้ประกาศกลางรายการว่า เขาสัญญาว่าชาวอเมริกันจะได้ฉีดวัคซีนต้านโรคโควิดภายในไม่กี่สัปดาห์นี้

 

"ไวรัสจะหายไป เราไม่สามารถปิดประเทศนี้ได้ นี่เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่" ทรัมป์กล่าว

 

ด้านไบเดนยืนยันว่า คณะบริหารของเขา (หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี) จะดำเนินการรับมือกับโรคระบาดตามคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์ และกล่าวโทษว่า แนวทางปฏิบัติของทรัมป์ที่มีแต่ความขัดแย้งนั้น  ขัดขวางประเทศในการรับมือกับไวรัสโควิด

 

ความสัมพันธ์ร้อนแรงระหว่างประเทศ

อีกประเด็นร้อน คือกรณีเกาหลีเหนือ นายโจ ไบเดน จวกทรัมป์ทำตัวเป็นมิตรกับอันธพาลด้วยการจัดประชุมสุดยอดทางการทูตระหว่างทรัมป์กับนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ซึ่งการประชุมดังกล่าวได้เปิดทางให้เกาหลีเหนือเพิ่มขีดความสามารถด้านขีปนาวุธ

 

"ทรัมป์พูดถึงเพื่อนที่ดีของเขาซึ่งเป็นอันธพาล นั่นก็เหมือนกับการบอกว่า เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮิตเลอร์ก่อนที่จะบุกโจมตียุโรป" ไบเดนเปรียบเทียบ พร้อมทั้งประกาศว่า ถ้าเป็นเขา เขาอาจตกลงที่จะพบปะกับนายคิม โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้นำเกาหลีเหนือจะต้องยอมลดขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ซึ่งจะนำไปสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี

 

นอกจากนี้ นายไบเดนยังระบุด้วยว่า หากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะทำให้จีน “เล่นตามกฎ” กติการะหว่างประเทศด้วย

 

ส่วนเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ทรัมป์อ้างว่า ครอบครัวไบเดนร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะความสนับสนุนของกลุ่มผู้มีอำนาจในรัสเซีย ขณะที่ตัวทรัมป์เองไม่เคยได้เงินจากรัสเซียเลย  และแน่นอนว่า ปธน.ทรัมป์ยังเปิดแผลเก่านายโจ ไบเดน ด้วยการพูดถึง “อีเมลที่น่าตกใจ” ในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่ถูกระบุว่าเป็นของนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของโจ ไบเดน ที่เคยทำงานให้บริษัทพลังงานในยูเครนช่วงที่บิดาเป็นรองประธานาธิบดี แต่ในประเด็นนี้ ไบเดนโต้แย้งว่า เขาและครอบครัวไม่เคยรับเงินแม้แต่สตางค์เดียวจากต่างประเทศ แต่ทรัมป์ต่างหากที่รวยขึ้นเพราะต่างชาติ รวมทั้งจีน

“ทรัมป์ VS ไบเดน” ดีเบตรอบสุดท้าย ชี้ชะตาเลือกตั้งปธน.สหรัฐ

หลากประเด็นที่ต้องดูแล

หัวข้อเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ ปธน.ทรัมป์ยอมรับว่า เด็กกว่า 500 คนที่ถูกแยกจากพ่อแม่ขณะลอบเข้าสหรัฐเป็นปัญหาที่รัฐบาลของเขากำลังพยายามอย่างหนักที่จะแก้ไข แต่เด็กหลายคนมากับแก๊งค้ามนุษย์โดยไม่มีพ่อแม่

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไบเดนกล่าวหารัฐบาลทรัมป์ว่า การแยกเด็กจากพ่อแม่ถือเป็นการก่ออาชญากรรมเลยทีเดียว ส่วนประเด็นการประกันสุขภาพ ทรัมป์พูดถึงกฎหมาย “โอบามาแคร์”ที่ริเริ่มขึ้นในสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา ว่า ส่วนที่เลวร้ายที่สุดคือการทำให้แต่ละคนหมดอำนาจตัดสินใจของตัวเองเพราะถูกบังคับให้ต้องซื้อประกันสุขภาพ ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับ

 

นายไบเดนออกมาปกป้องนโยบายดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่เขาเป็นรองประธานาธิบดีว่า เขาจะให้โอบามาแคร์เป็นทางเลือก จะไม่บังคับ ไม่ใช่การรักษาพยาบาลแบบสังคมนิยมตามที่ปธน.ทรัมป์กล่าวหา

 

ส่วนประเด็นเรื่องสีผิวในอเมริกา ทรัมป์คุยว่า เขาเป็น “ประธานาธิบดีที่ดีที่สุด” สำหรับชาวอเมริกันผิวสี แต่อาจจะยกเว้นประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นที่เป็นผู้ประกาศเลิกทาส ขณะที่ไบเดนทำงานการเมืองมาหลายสิบปีแต่ไม่ได้ทำอะไรให้ชุมชนคนผิวดำ  เจอพาดพิงเช่นนี้ ไบเดนจึงเสียดสีกลับไปว่า ลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีเหยียดผิวมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมา

 

ทั้งคู่ปิดท้ายด้วยหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ประเด็นนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สาดวาทะใส่กันมากนัก