ซีอีโอเซอร์ทิส ปั้นเทคคัมปานี 5 ปี ทะยานสู่เป้า พันล้านดอลลาร์ 

“ธี” ซีอีโอ บริษัท เซอร์ทิส จำกัด เล่าว่า เขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยทีมงานเพียง 3 คน ในห้องทำงานเล็ก ที่ปัจจุบันเป็นห้องเก็บรองเท้าของพนักงานในออฟฟิศ ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 130 คน

การเติบโตของธุรกิจ เป็นเพราะเขาเข้ามาปูพื้นและเริ่มทำตลาดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของเมืองไทย เกี่ยวกับงาน ดาต้า และเมื่อประเทศไทยต้องการก้าวสู่ยุค 4.0 ใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยการสร้างนวัตกรรม ต้องอาศัยการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์ พัฒนาของออกมาเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการต่างๆ จากความต้องการในจุดนี้ จึงทำให้ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล กลายเป็นที่ต้องการของหลากหลายองค์กร

ซีอีโอคนนี้ เล่าสั้นๆ ว่า จบวิศวะไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ และเคยทำงานด้านดาต้าที่อังกฤษ และเคยไปทำงานด้านคอมพ์และดาต้าที่ปักกิ่ง 2 ปี ซึ่งได้เรียนรู้เยอะมาก และทำให้เรามีประสบการณ์ พอกลับมาไทย เราก็เลยมีลูกค้าพร้อมจะใช้งาน ยุคนั้นก็เริ่มมีการคุยเรื่องบิ๊กดาต้าแล้ว และเราก็น่าจะเป็นหนึ่งในเจ้าแรกๆ ที่ทำ และขยายมาเรื่อยๆ

ด้วยบริการของเซอร์ทิส ที่ทำอยู่ใน 2 ส่วนหลักๆ คือ การจัดการระบบ และวิเคราะห์ข้อมูล แบบคัสตอมไมซ์เฉพาะแต่ละองค์กร จึงได้รับความสนใจ และมีลูกค้ารายใหญ่มากมายเข้ามาใช้บริการ อาทิ ปตท. แอร์เอเชีย ซีพีเอฟ แสนสิริ เอไอเอส และขยายบริการ รวมทั้งลูกค้าองค์กรต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

“ธี” ไม่ได้บอกเป็นตัวเลขรายได้ ว่าที่ผ่านมาเขาเติบโตเท่าไร แต่ในส่วนของภาพรวมองค์กรของเซอร์ทิสขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากทีมงานที่เริ่มต้นจากเขาคนเดียว ขยับขึ้นเป็น 3 คน เป็น 70 คน และปัจจุบันกลายเป็นกว่า 130 คน โดยทีมงานทั้งหมดล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง และกว่า 20% เป็นพนักงานต่างชาติเข้ามาร่วมงานด้วย ทีมงานเหล่านี้ คือ ทีมงานคุณภาพ ที่ซีอีโอคนนี้คัดเลือกมาแล้วว่า มีจริตในการทำงาน มีทัศนคติที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรที่เขาวางไว้ว่า ต้องเป็นคนที่สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา กล้าพูด กล้าทำ และต้องเข้าใจคนอื่นๆ คือ เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเป็นคนดี ที่ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ มีความเข้าใจเพื่อนรอบข้างด้วย และนี่คือ วัฒนธรรมองค์กรที่เขากำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัท

“ส่วนตัวเป็นคนเลือกงานมาก และเป็นคนเรื่องมาก เลยอยากสร้างองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมอย่างที่เราอยากอยู่ และคนทำงานทั่วไปอยากอยู่ ซึ่งเราก็มีความภูมิใจว่า คนของเราไม่ได้มีแค่ความสามารถสูง แต่ยังมีนิสัยดีด้วย ปัญหาของบริษัทเทคนิคอลสูงก็คือ บางทีคนที่เก่งมากๆ จะเข้ากับคนไม่ค่อยได้ เราเลยคัดเลือกนิสัย แน่นอนความสามารถทุกคนต้องมี แต่เราจะมีการสัมภาษณ์การเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร และสภาพแวดล้อมของบริษัทเราได้ไหม”

วัฒนธรรมองค์กรของเซอร์ทิส คือ “HOMERUN” H-Helpful คือ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน O-Open เปิดใจคุยกัน และเปิดรับสิ่งใหม่ๆ M-Modest อย่าหลงตัวเอง อย่าสำคัญตัวว่าเก่งที่สุด คนเก่งก็อาจจะอีโก้สูง E-Ethical ต้องคำนึงเสมอว่าจะต้องเป็นคนดี R-Resourceful ต้องช่วยกันประหยัด U-Understanding ต้องพยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน และ N-New Learning เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับบริษัทเทคโนโลยี เพราะหากหยุดการเรียนรู้ ก็หมายถึงถอยหลังทันที ทั้งหมดนี่ คือ สิ่งที่คนในองค์กรของเซอร์ทิสต้องมี

เมื่อได้คนที่มีเคมีตรงกันมาอยู่ด้วยกัน การทำงานของเซอร์ทิสจึงพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีนี้ เทคโนโลยีที่จะเป็นตัวชูโรงคือ เทคโนโลยีเอไอ Face recognition การจดจำใบหน้า เซอร์ทิส ถือเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านนี้ เทียบเท่ายักษ์ใหญ่ในจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มทำให้แล้วกับแอร์เอเชีย ในสนามบินที่มาเลเซียและออสเตรเลีย นอกจากนั้น ยังทำเรื่องบล็อกเชน เกี่ยวกับเอ็นเนอร์ยี่เทรดดิ้ง หรือการซื้อขายไฟฟ้า โดยร่วมกับ ปตท. ซึ่งเปิดตัวไปแล้ว

อีกส่วนหนึ่งที่จะขยาย คือ การให้บริการในแอเรียใหม่ๆ ที่ขยายงานดาต้าและเอไอ จาก กลุ่มเซลและมาร์เก็ตติ้ง ไปสู่กลุ่มงานการเงิน งานเอชอาร์ และอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เซอร์ทิสขยายได้อีกไม่ต่ำกว่า 2.5 เท่าในปีนี้

ซีอีโอ เซอร์ทิส บอกว่า ไม่ได้มุ่งหวังว่า เซอร์ทิสจะเป็นยูนิคอร์นหรือไม่ แต่เป้าหมายภายใน 5 ปีของเขาคือ บริษัทจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่อเมริกา 

หน้า 21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,544 วันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563