ครม. คลอด พ.ร.บ. การออกเสียงประชามติ รับแก้รัฐธรรมนูญ

08 ก.ย. 2563 | 08:44 น.

ครม.อนุมัติร่าง พ.ร.บ. การออกเสียงประชามติ เปิดทางแก้รัฐธรรมนูญ เผยบทลงโทษหากมีผู้ฝ่าฝืนจำคุก 1 – 10 ปี ปรับ เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งสูงสุด 5 ปี คาดใช้งบลงคะแนนทั่วประเทศกว่า 3 พันล้าน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอ ซึ่งเป็นการดำเนินการคู่ขนานกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาและที่ภาคประชาชนเสนอ

 

ทั้งนี้ มาตรา 256 (8) ของรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2560 ได้กำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องมีการทำประชามติ ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีการตรากฎหมายเพื่อให้มีการออกเสียงประชามติ โดยที่ผ่านมาใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552 ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2550 ซึ่งได้ยกเลิกไปแล้ว

 

สำหรับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ฉบับนี้ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกเสียงประชามติ โดยยังคงหลักการตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2552 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งมีสาระสำคัญคือ

 

1)กำหนดให้การออกเสียงประชามติ มี 2 กรณี คือ

กรณีมาตรา 166 ของรัฐธรรมนูญ  ครม. จะขอให้มีการออกเสียงในเรื่องที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รธน. หรือเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใด เพื่อให้มีข้อยุติ หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ ครม. กำหนดให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้มีการออกเสียงในราชกิจจานุเบกษา

 

กรณีมาตรา 256 (8) ของรัฐธรรมนูญ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศมีการออกเสียงในราชกิจจานุเบกษา

2)กำหนดให้การออกเสียงใช้วิธีลงคะแนนโดยตรงและลับ การออกเสียงจะถือว่ายุติก็ต่อเมื่อมีผู้ออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากและมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียง

 

3)กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องจัดทำประชามติ ต้องดำเนินการให้ข้อมูลการจัดทำประชามติแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงได้รับทราบอย่างเพียงพอ

 

4)กำหนดให้ผู้มีสิทธิออกเสียงต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น มีสัญชาติไทย มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีในวันออกเสียง ส่วนลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิออกเสียง เช่น ต้องไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

 

5) กำหนดความผิดและบทกำหนดโทษ เช่น กำหนดโทษจำคุก (1 – 10 ปี) ปรับ หรือเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง (ไม่เกิน 5 ปี)  และกรณีศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดตามฐานความผิดตาม พ.ร.บ. นี้ และเป็นผู้กระทำให้การออกเสียงไม่เป็นไปโดยสุจริต ผู้นั้นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการออกเสียงในหน่วยนั้นด้วย

ทั้งนี้ หากมีการจัดการออกเสียงประชามติทั่วประเทศ อาจต้องใช้งประมาณราว 3,150.69 ล้านบาท และถ้ามีการใช้มาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ควบคู่ไปด้วย อาจทำให้ต้องใช้งบประมาณเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4,062.73 ล้านบาท

 

ในลำดับต่อไป จะส่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป ส่วนการออกกฎหมายลำดับรอง มีจำนวน 1 ฉบับ คือ ร่างระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... จะดำเนินการหลังร่าง พ.ร.บ. มีผลบังคับใช้แล้ว 180 วัน

 

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยการใช้สิทธิออกเสียง “เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ” ในเรื่องสำคัญๆ เช่น การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องอื่นที่ ครม. ขอให้มีการออกเสียงประชามติ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“แก้รัฐธรรมนูญ” ส.ว.เสียงแตกเป็น 3 ก๊ก

“ราเมศ” ย้ำ อำนาจ ส.ว.ทบทวนเร่งตั้ง สสร. แก้รัฐธรรมนูญ

“สสร.40”ชง9ข้อหนุนแก้รธน. “นายกฯ-ส.ว.”มาจากเลือกตั้ง