ผลวิจัยชี้การอยู่รวมกลุ่มในร้านอาหาร-รถโดยสาร เสี่ยงติดเชื้อ"โควิด-19"สูง

27 พฤษภาคม 2563

สธ.เผยผลวิจัยพบว่าการรวมกลุ่มในพื้นที่จำกัด การระบายอากาศไม่ดี โดยเฉพาะในร้านอาหาร-รถโดยสารสาธารณะ มีโอกาสติดเชื้อ "โควิด- 19" สูง

 

ผลการศึกษาการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยนักวิจัยชาวจีนจากศูนย์ควบคุมโรค มณฑลหูหนาน พบว่า เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถแพร่กระจายได้ไกลถึง 4.5 เมตรบนรถโดยสารสาธารณะปรับอากาศ ทำให้ผู้โดยสารติดเชื้อได้หลายคนในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งงานวิจัยเกี่ยวกับการติดเชื้อในร้านอาหารช่วงแรกของการระบาดในประเทศจีนพบว่า การนั่งรับประทานอาหารในพื้นที่จำกัดที่มีระบบระบายอากาศแบบปิด และใช้เครื่องปรับอากาศที่อากาศไหลเวียนในพื้นที่จำกัด ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้เป็นจำนวนมากเช่นกัน


นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อโควิด-19นั้นเพราะทุกคนต้องถอดหน้ากากขณะรับประทานอาหาร ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้นด้วย จึงแสดงให้เห็นว่าในพื้นที่จำกัดที่มีระบบอากาศปิด และใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น บนรถโดยสารปรับอากาศ รถโดยสารสาธารณะ ทุกคนต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างให้ได้ 1-2 เมตร บนโต๊ะอาหารอาจต้องมีฉากกั้นเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของละอองฝอย  จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้ต้องนั่งแยกโต๊ะกันขณะรับประทานอาหารในร้านอาหารที่ระบบถ่ายเทอากาศแบบปิด ที่ใช้เครื่องปรับอากาศ 

ผลวิจัยชี้การอยู่รวมกลุ่มในร้านอาหาร-รถโดยสาร เสี่ยงติดเชื้อ"โควิด-19"สูง
"นโยบายการควบคุมโรคของประเทศไทยที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องถือว่าเหมาะสมแล้ว แต่การจะประสบความสำเร็จต่อไปนั้นต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดร่วมกัน"
 

 

นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ขณะนี้ตัวเลขผู้ป่วยโควิด -19 ในประเทศไทยมีค่อนข้างน้อย โดยผู้ป่วยที่พบจำแนกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วย กลุ่มแรกเป็นคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศแล้วเข้าสู่สถานที่กักตัวเพื่อสังเกตอาการตามที่รัฐกำหนด หากมีอาการจะพบในช่วง 14 วันที่กักตัว ซึ่งจะส่งเข้าระบบการรักษา ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มผู้สัมผัสผู้ป่วยรายเดิม อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายวิชาการมีข้อมูลสนับสนุนทำให้เชื่อว่าในประเทศไทยยังมีผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือแสดงอาการน้อยหลงเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขยังต้องเฝ้าระวังและค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกต่อไป