ตลาดคริปโตยังเสี่ยงปัจจัยลบรุมเร้า

30 พ.ค. 2564 | 19:10 น.

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังเสี่ยง เหตุปัจจุยลบรอบด้าน สตางค์โปรเชื่อพื้นฐานไม่เปลี่ยน นักลงทุนมองราคาเป็นหลัก ด้านยูโอบีแนะลงทุนหุ้นหรือกองทุนเทคโนโลยี อย่าเก็งกำไรคริปโต โดยเฉพาะเหรียญเล็กชื่อไม่ติดตลาด เสี่ยงถูกหลอกเล่นการพนัน แนวโน้มการกำกับภาครัฐจะเพิ่มขึ้น

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังได้รับแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งจากกรณีที่นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลา ประกาศงดรับเหรียญบิตคอยน์ในการซื้อรถยนต์เทสลา โดยอ้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการขุดบิตคอยน์ต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก ทำให้ราคาบิตคอยน์ทรุดลงอย่างหนัก ตํ่ากว่า 37,000 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่เคยทะยานเหนือระดับ 64,400 ดอลลาร์ และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติ การณ์ในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นราคาบิตคอยน์ก็ได้ไหลลงเรื่อยๆ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการเข้าควบคุมตลาดเงินคริปโตของทางการจีนและสหรัฐ

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ประมาณ 2.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมาจากบิทคอยน์ (Bitcoin) ประมาณ 40.17% และมีมูลค่าการซื้อขาย 255,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยรายเดือน แยกตามประเภทสินทรัพย์พบว่า Bitcoin อยู่ที่ 104,970 ล้านบาท, Dogecoin 91,040 ล้านบาท,Ethereum 57,680 ล้านบาท, XRP 47,600 ล้านบาท, Tether 44,350 ล้านบาท,  Binance coin 41,190 ล้านบาท, Cardano 28,470 ล้านบาท, และอื่นๆ 168,550 ล้านบาท 

ขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์และทองคำ ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 สูงสุด 3 อันดับแรก คือ XRP อยู่ที่ 541.65%, Ethereum อยู่ที่ 371.49% และ Bitcoin อยู่ที่ 53.21% โดย MSCI World อยู่ที่ 9.08%, ส่วนดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 6.89%, MSCI Emerging Market อยู่ที่ 1.53%, MSCI Asia อยู่ที่ 0.55% และทองคำอยู่ที่  -1.67% 

ตลาดคริปโตยังเสี่ยงปัจจัยลบรุมเร้า

นายปรมินทร์ อินโสม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบัน ยังเป็น Side way แกว่งตัวกว้าง แต่ยังอยู่ในกรอบที่ยังไม่หลุดแนวต้าน เนื่องจากพื้นฐานยังไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันนักลงทุนยังมีความกังวลในข่าวเชิงลบจากการที่รัฐบาลจีนประกาศแบนไม่ให้สถาบันการเงินเกี่ยวข้องกับบริการด้านคริปโต ซึ่งมองว่า ขณะนี้ตลาดยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง และยังไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ราคาบิทคอยน์อยู่ในขาลงหนักเหมือนที่ผ่านมา โดยนักลงทุนยังคงมองปัจจัยการเข้ามาเล่นอยู่ที่ราคาเป็นหลัก จากนั้นจะเริ่มศึกษาเพิ่มเติมในภายหลัง 

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนสายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย)จำกัดกล่าวว่า ภาพรวมสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ต้นปีนี้อาจจะมีสัญญาณราคาร่วงลงมา โดยเฉพาะ Bitcoin ปรับตัวลง หลังจากนายอีลอน รีฟ มัสก์ ส่งสัญญาณไม่รับชำระเงินบิตคอยน์ในการซื้อขายรถยนต์ ขณะที่นักลงทุนที่ถือ Ethereum
เทขายเหรียญออกมา เพื่อทำกำไรบ้าง ซึ่งการที่นักเก็งกำไรชิงขายเหรียญออกมาก่อนทำให้กระทบราคาบิตคอยน์ ประเภทอื่นด้วย ที่สำคัญการลงทุนในคริปโทส่วนใหญ่ยังเกาะกลุ่มคนในอุตสาหกรรม ประเทศหลักๆคือ จีน ซึ่งเป็นสายขุดและสหรัฐ ซึ่งเป็นนักเก็งกำไรในเทคโนโลยี ขณะที่ผ่านมานักลงทุนจีนพยายามจะลด Position เช่นกัน ประกอบกับทางรัฐบาลจีนมีนโยบายชัดเจนในการเก็งกำไรตลาดนี้ 

หากพิจารณาจากปี 2562 ที่นักลงทุนเข้าไปใน Bitcoin ระดับราคาค่อนข้างตํ่า โดยปัจจุบันราคายังเป็นบวกกว่า 300% หรือ 3เท่าหรือหากเทียบปีก่อนกับปีนี้ราคายังบวก 30% (28,000-37,000ดอลลาร์สหรัฐ) เช่นเดียวกับ Dogercoin ราคาปรับวกกว่า 7,000% เทียบจากปลายปีก่อนถึงปัจจุบัน และหากเทียบจากปลายปี 2562 ถึงปัจจุบันราคายังบวก 128% 

อย่างไรก็ตาม Cryptocurrency ยังเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีแนวโน้มจะปรับฐาน ดังนั้นในแง่ของผอบตอบแทนมีโอกาสจะเป็น “ขาลง” มากกว่า ขาขึ้น โดยเฉพาะเหรียญเล็กๆที่ไม่เป็นที่รู้จักราคามีโอกาสปรับเหลือศูนย์ ที่สำคัญเหรียญเล็กๆนั้นมักจะถูกนำมาใช้หลอกให้คนเล่นการพนัน  ยกเว้นเหรียญใหญ่ที่นักลงทุนคุ้นเคยนั้นราคาไม่น่าจะปรับลงลึก ถ้าอนาคตมีนักลงทุนสถาบันเข้าลงทุน เช่น ตั้งเป็นกองทุนแต่ไม่ได้การันตีว่าราคาจะขึ้นตลอดเพราะเป็นสินทรัพย์ไม่มีปัจจัยพื้นฐาน

ขณะเดียวกันในแง่ของความเสี่ยงยังต้องติดตาม ความคืบหน้าของวัคซีน ซึงเป็นจุดอ่อนต่อ Crypto currency เพราะหากเศรษฐกิจฟื้นโวลุมก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เวลานี้อาจจะถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อทำให้นักลงทุนเปลี่ยนไปถือสินทรัพย์ประเภทอื่น ที่สำคัญคือ ความเสี่ยงการกำกับควบคุมมากขึ้นจากทางการ เห็นได้จาก จีน และเกาหลีที่เอาจริงเอาจังเรื่องนี้ 

ฉะนั้นคำแนะนำ ถ้าสนใจเรื่องเทคโนโลยี พยายามเลือกลงทุนที่เป็นการทำธุรกิจจริงๆ เช่น หุ้นหรือกองทุนเทคโนโลยี แต่หากยังต้องการจะเก็งกำไรใน Cryptocurrencyก็ต้อง ไม่ให้กระทบความมั่งคั่งของตัวเองและครอบครัวต้องเดือดร้อน 

 

หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,683 วันที่ 30 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน พ.ศ. 2564