Ethereum คืออะไร?
Ethereum ก็คือแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่มี Blockchain เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังและมีเหรียญ Ether (ETH) เป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม
Ethereum ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Vitalik Buterin ในเดือนกรกฎาคมปี 2015 จุดเด่นของ Ethereum ก็คือ สามารถประยุกต์ใช้ Smart Contact ในการทำธุรกรรมได้กว้างมาก โดย Smart Contract ก็คือชุดคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ หรือ “โปรแกรม”ที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองเมื่อครบเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
การมาของ Ethereum เป็นการปลดล็อคขีดจำกัดของ Blockchain ให้สามารถทำธุรกรรมแบบกระจายศูนย์หรือไม่ผ่านตัวกลางในรูปแบบอื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็น การกู้ยืม, การระดมทุน (ICO), ไปจนถึงการสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Application)
Ethereum ต่างกับ Bitcoin อย่างไร?
ถึงแม้ Ethereum และ Bitcoin จะถูกเรียกว่าสกุลเงินดิจิทัลทั้งคู่แต่จุดประสงค์ที่สกุลเงินเหล่านี้เกิดขึ้นมานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
Bitcoin เกิดขึ้นมาเป็นตัวกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยใช้ Blockchainในการบันทึกธุรกรรม ทำให้เครือข่าย Bitcoin มีความปลอดภัยและโปร่งใส ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล”
ในขณะที่ Ethereum เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้เหล่านักพัฒนาสามารถเข้ามาเขียน Application โดยมี Ether (ETH) เป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมระหว่าง Application เหล่านี้
ความสำคัญของ Ethereum
Ethereum เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการเทคโนโลยีด้วย Decentralized Application (dApp) ซึ่งแตกต่างกับ Application ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google, หรือ Line ที่เป็นแบบ Centralized Application
สิ่งที่ dApp นำมาคือเรื่องของความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบชุดคำสั่งที่อยู่บน dApp ได้
และหากผู้ใช้มีความเข้าใจในภาษาคอมพิวเตอร์ก็จะสามารถเข้าใจได้ว่า dApp นั้นๆแท้จริงแล้วมีกลไกการทำงานอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของการเงินที่ต้องการความปลอดภัยและความโปร่งใสสูง โดยการเงินแบบกระจายศูนย์จะถูกเรียกว่า Decentralized Finance (DeFi)
อีกปัจจัยหนึ่งคือ เนื่องจาก Blockchain คือเทคโนโลยีที่มีการกระจาย Node ประมวลผลออกไปทั้งเครือข่ายจึงไม่ต้องกังวลว่าผู้ให้บริการ Application นั้นๆจะประสบปัญหาต้องปิดตัวลง ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ที่อยู่บน Aplication นั้นๆสูญหายไป
นอกจากนี้ ยังมีคอนเซ็ปท์ของ DAO หรือ Decentralized Autonomous Organizations ซึ่งก็คือองค์กรแบบกระจายศูนย์ที่สามารถดำเนินกิจการและเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจได้อย่างอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการซื้อ-ขาย การเจรจา การว่าจ้าง การตรวจสอบทรัพย์สิน
ทั้งหมดนี้สามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ และลดความผิดพลาดที่มาจากมนุษย์ (Human Error) ลงไป เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับ dApp ขึ้นไปอีกขั้นนั่นเอง
มูลค่าของ Ethereum มาจากไหน?
ภายในเครือข่าย Ethereum มีสกุลเงินที่เป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมต่างๆบนเครือข่าย เรียกว่า Ether (ETH) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีปริมาณอุปทาน (Supply) ไม่จำกัด เดิมทีมูลค่าของ Etherมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1.ใช้เป็นค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่าน dApp (เรียกว่า Gas fee)
2.ใช้ค้ำประกันสำหรับการเขียน dApp
3.ใช้เป็นสื่อกลางสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าหรือโทเคน
จะเห็นได้ว่าหลักๆมูลค่าของ Ether จะเกิดขึ้นจากความต้องการใช้งาน dApp นี่เอง แต่ต่อมาเมื่อเครือข่าย Ethereum เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จึงมีปัจจัยอย่างการเก็งกำไรเข้ามาส่งผลกระทบต่อมูลค่าของ Ether ด้วยเช่นกัน
อ้างอิงจาก Coinmarketcap ปัจจุบัน เหรียญ Ether มีมูลค่าตลาดรวมสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่ารวมประมาณ 1.59 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีจำนวนเหรียญอยู่ในระบบทั้งสิ้น 114,449,522 เหรียญ โดยเหรียญ Ether ไม่มีการจำกัดจำนวนเหรียญสูงสุดเหมือนกับ Bitcoin
Ethereum 2.0
ข้อเสียเปรียบของ Ethereum ที่เห็นได้ในปัจจุบันคือเรื่องของ Scalability หรือความสามารถในการรองรับจำนวนธุรกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากบนเครือข่ายนั่นเอง เนื่องจาก Ethereum ใช้ระบบ Proof-of-work มีข้อจำกัดในเรื่องของความเร็วและการใช้พลังงานที่สูงมาก ผู้พัฒนาจึงเกิดแนวคิดจะพัฒนาตัวเครือข่ายให้สามารถลบจุดอ่อนข้อนี้ไปให้ได้ จึงเกิดเป็น Ethereum 2.0
การมาของ Ethereum 2.0 จะเปลี่ยนระบบจาก Proof-of-work ไปเป็น Proof-of-Stake ทำให้ผู้ที่ต้องการยืนยันธุรกรรมบนเครือข่าย (Validator) ต้องทำการฝากเหรียญ Ether ขั้นต่ำ 32 เหรียญเข้าไปล็อคอยู่ในเครือข่าย เพื่อรับสิทธิ์เป็นผู้ยืนยันธุรกรรมและรับรางวัลจากการยืนยันธุรกรรม คล้ายกับการแข่งกันแก้สมการในระบบ Proof-of-work แต่กินพลังงานน้อยกว่าและเร็วกว่ามาก
ล่าสุด Ethereum 2.0 กำลังอยู่ใน Phase 0 หรือช่วงทดสอบ Beacon chainที่เป็นหัวใจสำคัญของเครือข่าย 2.0 และเปิดให้ผู้ที่สนใจเป็น Validator สามารถฝากเหรียญเข้าไปได้แล้วขณะที่ Phase ถัดไปยังคงต้องประกาศอย่างเป็นทางการจากผู้พัฒนากันก่อน
สรุป
Ethereum นับได้ว่าเป็นอีกเครือข่ายที่น่าจับตาพอๆกับ Bitcoin แม้จะถูกเรียกว่าสกุลเงินดิจิทัลทั้งคู่ แต่ Ethereum เกิดขึ้นมาเพื่อให้เหล่านักพัฒนาสามารถเข้ามาสร้างสรรค์ Application ต่างๆที่ให้ทั้งความปลอดภัยและโปร่งใส เรียกว่า Decentralized Application (dApp) ต่างกับ Bitcoin ที่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนบนโลกอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ
อ้างอิง: Ethereum, Cointelegraph, Investopedia, Forbes