ASPS มองหุ้นไทยปี 64 แตะ 1,626 จุด

07 ม.ค. 2564 | 10:32 น.

บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้นไทยปี 2564 ดัชนีแตะ 1,626 จุด มองภาพรวมการลงทุนไตรมาส 1 ปี 2564 คาดหวังความต่อเนื่องของโฟล์วต่างชาติทั้งทางตรง-ทางอ้อม

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัสจำกัด (ASPS) เปิดเผยว่า ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2564 ภายใต้ Market Earning Yield Gap 3.7% ถึง 3.5% บนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ถือว่าอยู่ในระดับอนุรักษ์นิยมในภาวะเงินทุนต่างชาติไหลเข้า คิดเป็น P/E ที่ 23.8 เท่า และ 25 เท่า เมื่อคูณกับ EPS64F 65.04 บาท/หุ้น จะได้เป้าหมายแรกดัชนี1,550 จุด อิง Market Earning Yield Gap 3.7% และเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยถัดไปที่ 1,626 จุด อิง Market Earning Yield Gap 3.5% ส่วนภาพรวมของเศรษฐกิจปี 2564 คาดจะพลิกกลับมาฟื้นตัว 4.1% จากฐานที่ต่ำและทุกปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2564 ประเมินไว้ที่719,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 65.04 บาท/หุ้น เติบโต 38.1%

 

“นับตั้งแต่ปลายงวดไตรมาส 4 ปี 2563 และต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นไตรมาส 1 ปี 2564 สถานการณ์การระบาดของไวรัสไวรัสโควิด-19  ในไทยในรอบนี้ถือว่ารุนแรงกว่ารอบแรกปี 2563 ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการในการควบคุมโรค โดยต้องติดตามระยะเวลาว่าจะยาวนานเพียงใด ซึ่งกระทบโดยตรงต่อกิจกรรมเศรษฐกิจ และมีโอกาสทำให้เกิดการหดตัวของจีดีพีอีกครั้งในงวดไตรมาสแรก ถือเป็นDownside ต่อประมาณการจีพีดีและกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2564 ส่วนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เชื่อว่ารัฐบาลยังต้องมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องและต้องเพิ่มน้ำหนัก รวมถึงวงเงินให้สูงขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องการก่อหนี้ซึ่งถูกกำหนดเป็นวินัยการคลังไว้ที่ 60% ของจีดีพีคิดเป็นมูลค่าเงินกู้ที่คงเหลือกู้ได้อีก 1.7 ล้านล้านบาท นับจากสิ้นเดือน ต.ค. 2563” 

สำหรับระยะกลาง-ยาวของปี 2564 เชื่อว่าจะเป็นปีแห่งกระแสเงินทุนต่างชาติ เพราะยังมีแรงหนุนที่ไหลเข้าไทยหลายช่องทาง ทั้งการลงทุนทางตรง อาทิ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แรงหนุนจากนโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่ผลักดันการขึ้นภาษีนิติบุคคล และค่าจ้างขั้นต่ำในสหรัฐฯ ส่วนการลงทุนทางอ้อม (การลงทุนผ่านสินทรัพย์ทางการเงิน) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับต่ำ ช่วยให้เกิดการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากพันธบัตรมาสู่ตลาดหุ้นมากขึ้นในระยะถัดไป รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า หนุนให้เกิดกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น รวมถึง Liquidity ที่ล้นระบบ (เงินฝากสูงกว่า Market Cap ตลาดฯ) และรอจ่อเข้าตลาดหุ้น ถือเป็นตัวช่วยเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นอีกแรง

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงต้นปี 2564 แนะนำหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่ง และได้แรงหนุนจากFund Flow อย่าง PTT, KBANK, ADVANC, GULF และหุ้นปันผลสูง AP, DCC ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่ขยับขึ้นมาแรงจนเกินมูลค่าทางพื้นฐาน อย่าง MAJOR, DELTA ต้องระมัดระวังในการซื้อขาย หรือเก็งกำไร