PwC แนะนักลงทุน ดูงบบจ.ไตรมาส 1/64 ให้ดี

04 ธ.ค. 2563 | 09:34 น.

PwC ประเทศไทย แนะ บจ.-นักลงทุน ศึกษางบไตรมาส 1/64 ให้ดุ หลังมาตรการผ่อนปรนชั่วคราวทางบัญชี สิ้นสุดลงในสิ้นปี 63 อาจทำให้งบต่างไปจากเดิม

สภาวิชาชีพบัญชี ได้ออกมาตรการผ่อนปรนเป็นการชั่วคราว 2 ฉบับคือ แนวปฏิบัติทางการบัญชีเรื่องมาตราการผ่อนปรนชั่วคราวสำหรับทางเลือกเพิ่มเติมทางบัญชี เพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 และแนวปฏิบัติทางการบัญชีเรื่องมาตรการผ่อนปรนชั่วคราว สำหรับกิจการที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งข้อผ่อนปรณดังกล่าวเป็นทางเลือกที่ให้กับบริษัทที่ใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ และจะหมดอายุลง ณ สิ้นเดือนธันวาคมปีนี้

 

นางสาว สินสิริ ทังสมบัติ หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชีและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า มาตรการผ่อนปรนชั่วคราวดังกล่าว ได้ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่องบการเงินของกิจการปี 63 ค่อนข้างเยอะ โดยมี บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จำนวนมากที่เลือกใช้ข้อผ่อนปรนของสภาวิชาชีพบัญชี

 

จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงิน ณ ไตรมาสที่ 2/63 เฉพาะบริษัทในตลท. ที่อยู่ในกลุ่ม SET100 จำนวน 105 บริษัทพบว่า 70% เลือกใช้ข้อผ่อนปรนของสภาวิชาชีพบัญชี โดยหมวดธุรกิจที่ทุกบริษัทในกลุ่มเลือกใช้ข้อผ่อนปรนประกอบด้วย ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (Banking) และธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ (Finance and Securities)  

PwC แนะนักลงทุน ดูงบบจ.ไตรมาส 1/64 ให้ดี

ส่วนกลุ่มธุรกิจที่เลือกใช้ข้อผ่อนปรนอยู่น้อยคือ หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค (Energy and Utilities) ซึ่งมีเพียง 6 บริษัทจากทั้งหมด 25 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้

 

“บจ.และนักลงทุนที่ใช้งบการเงิน ต้องทำความเข้าใจถึงมาตรการผ่อนปรนชั่วคราวและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับงบการเงินหลังจากที่มาตรการนี้สิ้นสุดลง โดยนักลงทุนจำเป็นต้องอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพื่อให้ทราบว่า บริษัทนั้นๆ เลือกใช้ข้อผ่อนปรนไหนบ้าง และศึกษาว่าผลที่จะตามมาหลังนี้จะเป็นอย่างไร ขณะที่บจ.ก็จะต้องเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้ชัดเจนและครบถ้วนแก่ผู้ลงทุนด้วย”นางสาวสินสิริกล่าว

 

ทั้งนี้ แนวปฏิบัติทางการบัญชีที่ผ่อนปรนชั่วคราวครอบคลุม 7 เรื่องหลักคือ 1.การวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยวิธีอย่างง่าย (TFRS9) 2.การวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุนที่ไม่อยู่ในความต้องการของตลาด(TFRS 9) 3.การวัดมูลค่ายุติธรรมสำหรับรายการสินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงิน (TFRS13) 4.การเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่า(TFRS16) 5.การกลับรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี (TAS12) 6.การประเมินข้อบ่งชี้การด้อยค่าของสินทรัพย์ (TAS36) และ 7. การประมาณการหนี้สิน (TAS37)

 

สำหรับรายละเอียดมาตรการผ่อนปรนส่วนใหญ่นั้น จะกระทบกับการประมาณการที่ขึ้นกับเหตุการณ์ในอนาคต และการประมาณการดังกล่าว ส่วนใหญ่กระทบกับการแสดงมูลค่าของสินทรัพย์ในงบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการคิดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งปกติในประมาณการต้องใช้ข้อมูลในอดีตควบคู่ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และต้องคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย แต่ในข้อยกเว้น กำหนดทางเลือกไม่ต้องนำข้อมูลที่มีการคาดการณ์ในอนาคต (Forward-looking information) มาใช้ในการคิดมูลค่าของผลขาดทุนทางด้านเครดิต

 

นอกจากนั้น ยังมีข้อผ่อนปรนสำหรับการวัดมูลค่ายุติธรรม เช่น การให้กิจการสามารถเลือกวัดมูลค่ายุติธรรมของตราสารทุนที่ไม่อยู่ในความต้องการของตลาดในแต่ละรอบระยะเวลาสิ้นไตรมาสและสิ้นปี 2563 ด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ 1 มกราคม 2563 แทนการวัดมูลค่ายุติธรรมใหม่ทุกไตรมาส ซึ่งในการคาดการณ์มูลค่ายุติธรรม ณ เวลานั้น (1 ม.ค. 63) อาจยังไม่ได้มีผลกระทบจากโควิด-19 มากนัก รวมทั้งการจัดทำมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ทางการเงิน และสินทรัพย์ทางการเงินบางประเภทที่ต้องใช้การประมาณการ กิจการสามารถให้น้ำหนักของข้อมูลที่เกี่ยวกับโควิด-19 เป็นน้ำหนักน้อย

 

สำหรับการประเมินการด้อยค่าได้ให้ข้อผ่อนปรน 2 ส่วน โดยส่วนที่ 1 ให้ทางเลือกที่จะไม่นำสถานการณ์โควิด-19 มาเป็นข้อบ่งชี้ของการด้อยค่า ซึ่งหากไม่มีข้อผ่อนปรนดังกล่าวโควิด-19 จะเป็นสถานการณ์ด้านลบและเป็นเหตุให้กิจการต้องทำการทดสอบการด้อยค่า ดังนั้น การให้ข้อยกเว้นในข้อนี้ จึงทำให้กิจการไม่ต้องทำการทดสอบการด้อยค่า 

 

ส่วนที่ 2 เป็นการผ่อนปรนให้กิจการสามารถเลือกไม่ต้องนำข้อมูลจากโควิด-19 ที่อาจกระทบต่อการพยากรณ์ทางการเงินในอนาคตมาใช้ประกอบการทดสอบการด้อยค่า สำหรับสินทรัพย์บางกลุ่มที่ต้องทำการทดสอบการด้อยค่าเป็นประจำทุกปี ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวครอบคลุมถึงค่าความนิยม สินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่มีอายุการให้ประโยชน์ไม่ทราบแน่นอน และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ยังไม่พร้อมใช้งาน

 

นอกจากนี้ ข้อผ่อนปรนดังกล่าวยังให้ทางเลือกกับกิจการในการที่จะไม่นำข้อมูลที่เกี่ยวกับโควิด-19 ที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการประมาณกำไรทางภาษีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาเป็นข้อมูลในการประมาณความเพียงพอของกำไรทางภาษีที่จะเกิดขึ้น เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีและรับรู้เป็นสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีได้

 

ขณะที่ประเด็นทางบัญชีอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมในการจัดทำงบการเงินภายใต้วิกฤติโควิด-19 เช่น การบัญชีกรณีที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ การบัญชีป้องกันความเสี่ยง การประมาณการหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างองค์กร การรับรู้รายได้ และการวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือยังเป็นประเด็นที่บริษัทต้องพิจารณาในการจัดทำงบการเงินปี 2563

 

“การผ่อนปรนดังกล่าว ยังกระทบกับมูลค่าสินทรัพย์รายการใหญ่ๆ หลายรายการในงบการเงิน เช่น ลูกหนี้การค้า ลูกหนี้สัญญาเช่า ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน สินทรัพย์ทางการเงินทั้งตราสารหนี้และตราสารทุน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี และค่าความนิยม ดังนั้นเมื่อการผ่อนปรนสิ้นสุดลง นั่นหมายความว่า การจัดทำงบการเงิน สำหรับรอบระยะเวลาสิ้นสุด 31 มีนาคม 2564 บริษัทต้องกลับไปใช้หลักการตามปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่แสดงอยู่เปลี่ยนไปได้”

 

จากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นพบว่า ข้อผ่อนปรนที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม SET100 เลือกใช้เป็นลำดับสูงที่สุดคือ 1.การวัดมูลค่าผลขาดทุนที่เกิดจากการด้อยค่าของลูกหนี้ (คิดเป็น 66% ของบริษัทใน SET100 ที่เลือกใช้ข้อผ่อนปรนฉบับนี้) 2.การประเมินข้อบ่งชี้ของการด้อยค่า (62%) และอีกข้อที่น่าสนใจ คือ การเลือกใช้ข้อผ่อนปรนเรื่องการด้อยค่าของค่าความนิยม (43%) เนื่องจากไม่ใช่ทุกบริษัทจะมีค่าความนิยม

 

“ข้อมูลเหล่านี้ ย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่นักลงทุนต้องอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพื่อประกอบความเข้าใจข้อผ่อนปรนที่บริษัทเลือกใช้ เพราะบริษัทแต่ละแห่งเลือกใช้ข้อผ่อนปรนที่แตกต่างกันไป ทำให้เกณฑ์ในการจัดทำงบการเงินอาจมีความแตกต่างกันได้ ขณะที่บริษัทต้องประเมินและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมการสื่อสารและส่งสัญญาณให้กับผู้ใช้งบการเงินได้ทราบว่า ตัวเลขในไตรมาส 1/64 จะได้รับผลกระทบหลังจากหมดข้อผ่อนปรน”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บจ.MAI กำไรสุทธิQ3 ฟื้นตัวแต่ 9 เดือนหด 69%

บจ.ไตรมาส3 กำไรสุทธิโต 24% ฟื้นหลังมาตรการผ่อนคลาย

คะแนนประเมิน CG บจ.ไทย สูงสุดในรอบ 20 ปี

บจ.ไทยครองแชมป์เข้าดัชนี DJSI สูงสุดในอาเซียน