18 ส.ค. 63 หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ปรับขึ้น 9.20 จุด หรือ +0.70% ดัชนี SET ยืนที่ 1,330.11 จุด มูลค่าการซื้อขาย 50,855.87 ล้านบาทใน
ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มแบงก์เพิ่มขึ้น 4.09 จุด หรือ +1.49% มาอยู่ที่ 279.43 จุด นำโดยหุ้น TISCO บวก 2.62% มาอยู่ที่ 68.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 766,19 ล้านบาท
หุ้น BBL บวก 1.90% มาอยู่ที่ 107.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 541.19 ล้านบาท
หุ้น KBANK บวก 1.71% มาอยู่ที่ 89.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,714.16 ล้านบาท
หุ้น SCB บวก 1.38% มาอยู่ที่ 73.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 771.51 ล้านบาท
หุ้น KTB บวก 1.02% มาอยู่ที่ 9.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 208.64 ล้านบาท
หุ้น TMB บวก+1.03% มาอยู่ที่ 0.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท มูลค่าการซื้อขาย 190.75 ล้านบาท
หุ้น KKP บวก 1.89% มาอยู่ที่ 40.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 122.16 ล้านบาท
บทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคทีบี หรือ KTBST ประเมินว่า จากกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์กลับมาจ่ายเงินปันผลได้ โดยต้องรอดูผลทดสอบดำเนินธุรกิจในภาวะวิกฤติ (stress test ) ของเดือน ต.ค.นั้น หากเงินกองทุนเหนือเกณฑ์ 12% จะยกเลิกการห้ามจ่ายเงินปันผล
ข่าวเกี่ยวข้อง
"ธนาคารแห่งประเทศไทย"ลั่นฐานทุนแบงก์แกร่งแต่เข้มเกณฑ์จ่ายปันผล
โดยหากพิจารณาในส่วนของเงินกองทุนในปัจจุบันของแต่ละธนาคารที่มีอยู่ 17-22% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดียังต้องรอผลการทำ stress test ในเดือน ต.ค. อีกทีว่าจะผ่านขั้นตอนที่ ธปท. ต้องการที่มากกว่า 12% หรือไม่ แต่เชื่อว่าแต่ละธนาคารจะกลับมาจ่ายเงินปันผลงวดปี 2563 ได้อย่างน้อยที่ระดับต่ำสุดของ %dividend payout ratio เราได้ทำ scenario เพื่อดูว่าธนาคารไหนจะมี dividend yield สูงที่สุด
โดยให้สมมติฐานว่า แต่ละธนาคารมีการจ่าย payout ที่ขั้นต่ำสุด พบว่าธนาคารขนาดเล็กมี dividend yield มากกว่าธนาคารขนาดใหญ่ โดย KKP, TISCO มี dividend yield สูงที่สุด 6% และ 5% ตามลำดับ(Fig 1) ส่วนธนาคารขนาดใหญ่ที่มี dividend yield สูงที่สุดคือ KTB ที่ 5%
ทั้งนี้ KTBST ยังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารเป็น “เท่ากับตลาด” เลือก BBL (ซื้อ/เป้า 120.00 บาท) เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีความเสี่ยงในการตั้งสำรองฯน้อยที่สุด และมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 171% ซึ่งเป็นระดับที่รองรับความเสี่ยงในอนาคตได้ดีที่สุด
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯ จากรายงาน ธปท. เงินกองทุนเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ณ เดือน มิ.ย.63 อยู่ที่ 19.2% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ (minimum requirement) ที่ 12.0% ค่อนข้างมาก แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เต็มไตรมาส
หากพิจารณาเงินกองทุนรายธนาคาร ณ สิ้นไตรมาส 1/63 (ข้อมูลไตรมาส 2/63 ของรายธนาคารต้องรองบสอบทาน ซึ่งจะทยอยประกาศภายในวันที่ 20 ส.ค.) พบว่ามีเงินกองทุน 17%-21% ซึ่งธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มีเงินกองทุนต่ำสุดที่ 17.2% ขณะที่ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) มีเงินกองทุนสูงสุดที่ 20.7%
หากพิจารณา stress test พบว่าเงินกองทุน ณ ปัจจุบันของธนาคารมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ สามารถรองรับผลขาดทุนได้มากถึง 7.2 หมื่นล้านบาท-1.3 แสนล้านบาท ดังนั้นเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารถือว่ามีความแข็งแกร่งมาก มีความสามารถจ่ายปันผลได้
อย่างไรก็ดี บล.โนมูระ ฯ ยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารที่ NEUTRAL พร้อมกับเลือก ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ("ซื้อ"เป้า 120 บาท) และ TISCO ("ซื้อ"เป้า 80 บาท) เป็น Top pick ของกลุ่มฯ