ดาวโจนส์ ปิดบวก 114.67 จุด รับแรงหนุนหุ้นเทคโนโลยีพุ่ง

31 ก.ค. 2563 | 23:42 น.

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,428.32 จุด เพิ่มขึ้น 114.67 จุด หรือ +0.44%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,271.12 จุด เพิ่มขึ้น 24.90 จุด หรือ +0.77% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,745.27 จุด เพิ่มขึ้น 157.46 จุด หรือ +1.49%

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ แอปเปิล, แอมะซอน.คอม และเฟซบุ๊ก หลังจากบริษัทเหล่านี้เปิดเผยรายได้และผลกำไรสูงเกินคาดในไตรมาส 2/2563 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการรอบใหม่ของรัฐบาลสหรัฐในการเยียวยาผลกระทบของโรคโควิด-19 นั้น ยังคงทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนัก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,428.32 จุด เพิ่มขึ้น 114.67 จุด หรือ +0.44%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,271.12 จุด เพิ่มขึ้น 24.90 จุด หรือ +0.77% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,745.27 จุด เพิ่มขึ้น 157.46 จุด หรือ +1.49%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 0.15%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.73% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.69%

ส่วนในรอบเดือนก.ค. ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 2.39%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 5.52% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 6.83%

ตลาดหุ้นสหรัฐได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นชั้นนำในกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นแอปเปิล ทะยานขึ้น 10.47%, หุ้นแอมะซอน.คอม พุ่ง 3.70% และหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 8.17% หลังบริษัทเหล่านี้เปิดเผยผลกำไรไตรมาส 2/2563 ที่สูงเกินคาด
        

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับมาตรการรอบใหม่ในการเยียวยาผลกระทบของโรคโควิด-19 หลังนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเปิดเผยว่า ทำเนียบขาวและพรรคเดโมแครตยังคงเจรจากันเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้

บรรดานักลงทุนยังคงรอผลการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งรวมถึงการขยายโครงการช่วยเหลือคนว่างงานซึ่งจะหมดอายุในสิ้นเดือนก.ค.นี้ โดยมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับวงเงินที่จะให้ความช่วยเหลือคนว่างงาน ซึ่งพรรคเดโมแครตต้องการให้รักษาวงเงินดังกล่าวไว้ที่ระดับ 600 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ แต่พรรครีพับลิกันต้องการให้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 200 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์

ส่วนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 72.5 ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 72.7 โดยร่วงลงจากระดับ 78.1 ในเดือนมิ.ย.
         

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 5.6% ในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 5.5% หลังจากพุ่งขึ้น 8.5% ในเดือนพ.ค. โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่รายได้ส่วนบุคคล ลดลง 1.1% ในเดือนมิ.ย. หลังจากดิ่งลง 4.2% ในเดือนพ.ค. และลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจลดลง 0.5%

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนพ.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.9% หลังจากดีดตัวขึ้น 1.0% ในเดือนพ.ค.