“แรมโบ้”ย้ำนายกฯ ห่วงใยผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ยกระดับดูแลใกล้ชิด   

25 ก.ค. 2564 | 04:49 น.

“แรมโบ้”ย้ำนายกฯ ห่วงใยประชาชนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ยกระดับเข้มบริหารจัดการดูแลผู้ป่วยใกล้ชิด  พร้อมให้กำลังใจแพทย์ บุคลากรด้านสาธารณสุขที่ทำงานด่านหน้า

วันนี้ (25 ก.ค.64) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ระบุถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมด่วนและมีมาตรการเข้มในการบริหารจัดการดูแลผู้ป่วย ว่า ตนเห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าวที่ออกมา ถือเป็นการยกระดับมาตรการต่างๆ ให้เข้มขึ้น และตรงนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ที่มีต่อประชาชนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด 


รัฐบาลให้ความสำคัญในทุกส่วน ทั้งการบริหารสถานการณ์ให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น การจัดสรรบุคลากร และการบริหารจัดการสถานที่ต่างๆ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลให้ทุกฝ่ายได้เห็นภาพรวมและขับเคลื่อนไปด้วยกัน 
ในที่ประชุมนายกฯ ให้ความสำคัญหลายเรื่อง เช่น เรื่องของโรงพยาบาลสนาม โดยนายกฯ เห็นว่าต้องเร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการให้เข้าถึงการรักษาให้มากที่สุดและเร็วที่สุด และให้เพิ่มขีดความสามารถโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่ในขณะนี้ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงให้มากขึ้น 

 

รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Isolation – HI) และการดูแลผู้ป่วยในชุมชน (Community Isolation – CI) อย่างเป็นระบบ โดยจัดให้มีทีมแพทย์คอยติดตามอาการ ชุดเวชภัณท์ และยาที่จำเป็นเพี่อคัดแยกผู้ป่วย ลดการแพร่เชื้อภายในครอบครัวและชุมชน 

 

สำหรับผู้ป่วยที่สามารถกักตัวที่บ้านได้ (HI) จะมีการจ่ายยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้จะนำส่งศูนย์พักคอย หรือ (CI) ซึ่งกรุงเทพมหานครจะได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อให้ครบทั้ง 50 เขต 
 

นายเสกสกล กล่าวว่า นอกจากนี้นายกฯ ยังได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาร่วมช่วยเหลือ สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงการจัดส่งอาหารและยาให้ผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวที่บ้านและที่ชุมชนในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง  ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยประสานผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวในภูมิลำเนาได้ ตามมาตรการสาธารณสุขที่กำกับการเคลื่อนย้ายทุกขั้นตอน เพี่อลดปัญหาการได้เข้ารับการรักษาในพื้นที่ กทม. ที่มีข้อจำกัดเรื่องเตียง 

 

และสนับสนุนทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก (Comprehensive Covid-19 Response Team) หรือ CCRT อย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการลงพื้นที่ทั้ง 50 เขตเพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนให้ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด
 

ที่สำคัญที่สุดนายกฯ ยังได้เน้นเรื่องการปรับปรุงระบบการรับเรื่องผ่านโทรศัพท์สายด่วนต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้สามารถประสานข้อมูลร่วมกัน เพื่อนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริง ควบคู่ไปพร้อมกับการเดินหน้าจัดหาวัคซีนให้มากที่สุดเพื่อเร่งฉีดให้กับประชาชนโดยเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งในขณะนี้ในพื้นที่ กทม. ได้มีการฉีดวัคซีนเกินกว่าร้อยละ 50 ของประชากรแล้ว

 

และสิ่งที่นายกฯไม่เคยลืมคือการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุข และคนทำงานจากทุกหน่วยงานที่ร่วมใจดูแลผู้ป่วยอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย โดยนายกรัฐมนตรียินดีและพร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรค เพี่อจะได้ร่วมช่วยหาวิธีแก้ไขและนำไปสู่แนวทางที่เหมาะสมในการทำงานของทุกหน่วยงาน

 

 

รัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ทำงานกันอย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำขนาดนี้ก็ยังไม่พอใจคนที่คิดอคติ เอาการเมืองมาเล่นในสถานการณ์วิกฤตโควิดในขณะนี้ โดยไม่คิดว่าความเสียหายที่ตัวเองคอยแซะ คอยวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะเป็นอย่างไร ประเทศจะเสียหายย่อยยับขนาดไหน ไม่ว่านายกฯหรือรัฐบาลจะทำอะไร ก็คอยตั้งท่าตำหนิติเตียนตลอด จึงอยากเตือนสติฝ่ายค้านฝ่ายเห็นต่างทั้งหลาย ช่วยนึกถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย อนาคตลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร ญาติพี่น้องเราจะเป็นอย่างไร ต้องนึกถึงเขาด้วย อย่าเห็นแก่ตัวนึกถึงแต่ตัวเอง ด่าเอามันปากเอาสนุกอย่างเดียวไม่ได้ สุดท้ายถ้าเกิดกับญาติพี่น้อง ลูกหลาน หรือบุคคลใกล้ตัว เมื่อคิดได้ก็อาจจะสายไปแล้ว

 

"วันนี้เป็นการต่อสู้กับสงครามโควิด มหันตภัยไวรัสที่ไม่เห็นตัว เราคนไทยจะมามัวทะเลาะกันไม่ได้แล้ว นายกฯและรัฐบาลอยากเห็นความร่วมมือร่วมใจเสียสละร่วมกัน จับมือกันสามัคคีกัน ไม่มีเวลามาทะเลาะขัดแย้งกัน เพื่อปกป้องรักษาชีวิตคนไทยทุกคนให้ผ่านสงครามโควิดนี้ไปให้ได้ ประเทศไทยจึงจะชนะด้วยพลังสามัคคีของคนไทยทุกคน"