OR เริ่มแผ่วปลาย

16 ก.พ. 2564 | 23:00 น.

OR เริ่มแผ่วปลาย : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3654 หน้า 13 ระหว่างวันที่ 18-20 ก.พ.2564 By…เจ๊เมาธ์ง

>>  เทศกาลการแจ้งผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ส่วนมากนอกจากจะแจ้งผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 4/63 แล้วก็ยังเป็นการสรุปผลการดำเนินงานรวมทั้งปีของปี 2563 ด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าผลการดำเนินงานของบริษัทโดยส่วนใหญ่คงจะออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 กลายเป็นตัวฉุดรั้งทั้งรายได้และกำไรของหลายบริษัทให้ตกตํ่าลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนํ้ามันเพราะอุตสาหกรรมขนส่งที่นอกจากการขนส่งผู้โดยสารจะยังถูกกระทบจาก Covid-19 แล้ว การขนส่งสินค้าก็อาจจะยังได้รับผลกระทบตามไปด้วย ตามด้วยอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอย่างโรงแรมและร้านอาหารเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในด้านการเดินทางท่องเที่ยวและการใช้บริการร้านอาหารเปลี่ยนไป นอกจากนี้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณที่อยู่อาศัยสะสมรอขายที่มีอยู่มาก

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมก็เริ่มที่จะปรับตัวดีขึ้นจากมุมมองที่คาดหวังว่าในปี 2564 จะได้เริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรมโดยมีปัจจัยหลักที่มาจากวัคซีนป้องกันเชื้อ Covid-19 ที่เริ่มฉีดให้กับประชาชนในหลายประเทศ จนทำให้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งประเมินกันว่าจะดีขึ้นในช่วงกลางปี 64 และสามารถเข้าสู่ภาวะปกติได้ในปี 65 โน้นเลยเจ้าค่ะ

>>  หุ้นร้อนที่พึ่งจะเข้าตลาดอย่าง OR กลายเป็นหุ้นที่ได้รับสมญานามว่า หุ้นมหาชน เนื่องจากการที่มีประชาชนที่เข้าไปจองและได้รับการจัดสรรหุ้นให้อย่างทั่วถึงกว่า 530,000 บัญชี เริ่มจะออกอาการถอยให้เห็นหลังจากกที่เข้าไปทำการซื้อขายในตลาดได้ 3 วัน โดยมีข่าวเรื่องการที่จะต้องเข้าไปติดคุกการเงิน (Cash Balance) หรือต้องซื้อด้วยบัญชีเงินสด หากราคาปิด ณ วันที่ 18 ก.พ.นี้ สูงกว่า 27 บาท ซึ่งจนถึงตอนนี้ราคาหุ้นของ OR ก็วิ่งเกินราคาที่ว่ามาไกลแล้ว เข้ามากดดันราคาหุ้นและการที่ OR ก็จะได้เข้าไปอยู่ในดัชนีคำนวณ SET50, SET100 ในวันที่ 17 ก.พ. ก่อนที่จะติดคุกก็เป็นไปได้ที่จะลดความร้อนแรงของ OR ให้น้อยลง ซึ่งนักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างก็มองตรงกันว่า สภาพคล่องการซื้อขาย OR มีไม่สูง โดยสภาพคล่องการซื้อขาย (Free Float) ของ OR อยู่ในเกณฑ์ตํ่าที่ 24.5% เทียบกับ DELTA ที่ 22.4% จึงมีโอกาสที่จะเข้ากรณีเดียวกัน นั่นคือมีข่าวเรื่องการเก็งกำไรหุ้น Free Float ตํ่า ซึ่งก็น่าจับตาดูว่าหลังจากที่ OR ติดแคชฯ ไปแล้ว จะยังมีการเล่นเก็งกำไรกันอย่างหนาแน่นเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้ายังไปต่อ...ก็หมายความว่า OR ก็มีโอกาสที่จะถูกไล่ราคาในคุกการเงินได้เหมือนกันนั่นเอง

 >>  ไปที่ฟากของ DELTA กันบ้าง หลังจากที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกือบๆ 20% ทั้งที่อยู่ในคุกการเงิน มันก็ทำให้หุ้นที่ถูกจับจ้องจากทางตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่แล้วต้องถูกดับซ่าลงไปอีกครั้ง ด้วยการให้เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย โดยหุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ให้อยู่ในระดับ 2 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ  Cash Balance ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.ถึง 8 มี.ค.2564 ซึ่งก็ได้เป็นการดับความหวังของนักลงทุนรายย่อยหลายคนที่ยังคงติดดอย DELLTA อยู่สูงๆ เนื่องจากคาดหวังว่าถ้าหลุดแคชฯ ราคาหุ้นก็อาจจะถูกไล่ราคาให้กลับไปสู่ราคาเดิมได้ (800 บาทกว่าๆ)

 อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของผู้บริหาร DELTA ต่อคำถามของตลาดฯ ที่สอบถามถึงพัฒนาการใดๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ของบริษัท ก็คือ ไม่มี ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่มีผลกระทบกับราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นใครที่ติดดอย DELTA ถ้าตัดใจคัทไม่ได้ ก็ยังคงจะต้องอยู่อย่างหนาวๆ ต่อไปอีกนานเลยเจ้าค่ะ

>>  หุ้นแม่ลูก STA และ STGT กลับมาขยับราคาอย่างโดดเด่นโดยมีเรื่องของ ความคาดหมายกำไรไตรมาส 4/2563 จะโตแบบก้าวกระโดด รับผลบวกจากราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่มีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรับผลดีจากนโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมทั้งมีการประเมินกันว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลในปีนี้จะสูงถึง 11% ในขณะที่ STA ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ STGT อยู่ถึง 50% ก็จะได้รับอานิสงส์จากการจ่ายปันผลนี้ไปเต็มๆ อีกด้วย ขณะที่กำไรของ STGT ในงวดปี 2563 และปี 2564 อยู่ที่ 1.33 หมื่นล้านบาท และ 1.55 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ หลังปรับราคาขายเฉลี่ยขึ้น ซึ่งทำให้สมมติฐานกำไรขั้นต้นในปี 2563 และปี 2564 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54% และ 55% ตามลำดับ ดังนั้นเจ๊เมาธ์จึงมองว่า STA และ STGT เป็นหุ้นที่คบได้นะคะ แต่ต้องทนกับแรงเสียดทานให้ได้ด้วยค่ะ

 >> ราคาหุ้นของ SAK เริ่มมีการขยับราคาขึ้นมาอย่างโดดเด่น เนื่องจากคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 คาดว่าน่าจะดีขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ก็ไม่มีผลกระทบกับบริษัท อย่างไรก็ตามในมุมมองของเจ๊เมาธ์ ซึ่งเจ๊เองก็เฝ้ามองพัฒนาการราคาหุ้นของ SAK มานาน เจ๊ก็บอกได้เลยว่าการที่ราคาหุ้นของ SAK ขยับราคาไปไม่ได้ไกลมันเป็นเพราะสภาพคล่องของหุ้นที่ค่อนข้างตํ่าเป็นปัจจัยสำคัญนะคะ บอกเลยว่าถ้าหากอยากให้ราคาหุ้นปรับราคาขึ้นไปได้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างตระกูล บุญสาลี ที่ถือหุ้นรวมกันเกือบๆ 70% จะต้องยอมปล่อยให้หุ้นมีสภาพคล่องให้มากการที่เป็นอยู่ให้ได้ จะเลือกปล่อยบิ๊กล็อตให้กองทุนจะ PP หุ้นให้รายใหญ่ หรือ จะปันผลเป็นวอแรนท์ก็ได้นะคะ เอาเป็นว่าถ้ามีสภาพคล่องราคาหุ้นก็ไปได้อีกไกลเจ้าค่า