>> ถึงแม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นยุโรป จะเริ่มปรับสูงขึ้นเนื่องจากการคลายความกังวลเกี่ยวกับเชื้อไวรัส Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ และความหวังเชิงบวกได้เห็นข้อตกลงทางการค้าภายหลังการ Brexit ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ระหว่างอังกฤษกับสหภาพยุโรปแล้วก็ตาม แต่การที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ยังไม่ยอมลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 9 แสนล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่า เป็นวงเงินจำนวนน้อยเกินไป ทำให้ดัชนีหุ้นนิวยอร์คเกิดภาวะชะลอตัว ถึงแม้ว่าราคานํ้ามันดิบและการลงทะเบียนคนว่างงานในสหรัฐฯ จะมีตัวเลขที่ดีขึ้นก็ตาม
>> ส่วนปัจจัยภายในประเทศ เรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่กลับมาระบาดรอบใหม่ เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย ถึงแม้จะผ่อนคลายความกังวลไปบ้างแล้ว ไม่มีล็อกดาวน์ประเทศ แต่การแบ่งพื้นที่เป็นโซน ตามความเสี่ยง ให้ระวังตัว ดึงดัชนีหุ้นไทยขยับได้บ้าง ช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลือปีนี้
>> สรุป...ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็มีแต่ปัจจัยกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยอยู่ในช่วงชะลอตัว จึงเป็นเวลาเหมาะที่จะวางแผนการท่องเที่ยวเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเองในช่วงปลายปี รวมไปถึงทบทวนวิธีการลงทุน และวางแผนการลงทุนสำหรับปีหน้าได้นะคะ อย่างลืมว่า Work-Life Balance จะทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างแท้จริงได้ค่ะ
>> ในที่สุด DELTA กลับมาทำราคานิวไฮรอบใหม่ได้อีกครั้ง แต่ถ้าถามเจ๊เมาธ์ว่า ยังมีมุมมองในเชิงหวาดระแวงว่า DELTA มีโอกาสถูกทุบหุ้นอีกหรือเปล่า เจ๊ก็ยังระแวงอยู่นะคะ แต่ขณะเดียวกัน เจ๊ยอมรับว่า เจ้ามือหุ้นตัวนี้ใจถึงเงินหนาตัวจริงค่ะ สังเกตได้ว่า เงินที่ไหลเข้ามาใน DELTA แต่ละรอบหลายพันล้าน ขณะที่การรับรู้เรื่องของพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป ก็รับรู้กันไปทุกอย่างแล้ว ดังนั้นเจ๊เมาธ์จึงมองว่า ถ้าจะเข้าต้องระมัดระวังด้วยนะคะ เจ๊ยังระแวงค่ะ
>> กลับกลายเป็นว่า VGI เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากบริษัท KEX (เคอรี่ เอ็กซ์เพรส) ที่ถือหุ้น 19% เพราะเริ่มต้น KEX ซื้อขายวันแรกในตลาด ราคาหุ้น KEX เปิดสูง 65 บาท (IPO 28 บาท) สูงสุด 73 บาท แล้วลงตํ่า 46 บาท ...ผู้ถือหุ้น VGI บางส่วน เลือกที่จะขายหุ้น VGI เพื่อไปถือหุ้น KEX ที่ดูสดและใหม่กว่า ทำให้ราคาหุ้น VGI ปรับตัวลงตํ่ากว่า 8% ในวันแรกที่ KEX เข้าตลาด แต่อย่างไรก็ตาม การขายหุ้น VGI เพื่อเข้าไปเล่นกับหุ้นตัวร้อนอย่าง KEX ก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องนัก สำหรับใครหลายคน เพียงแค่เข้าตลาดวันแรก KEX ก็เรียกเม่าขึ้นดอยได้เพียบแล้ว สาเหตุเพราะราคาหุ้น IPO วันแรกๆ มักจะผันผวนหนักและคาดการณ์ได้ค่อนข้างลำบากค่ะ
>> หุ้น KEX ราคาเปิดการซื้อขาย (Open Price) ปรับขึ้นกว่า 132.14% จากราคาจองซื้อ (IPO Price) ที่ 28.00 บาทต่อหุ้น มาอยู่ที่ 65.00 บาทต่อหุ้น และล่าสุดปรับขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 73.00 บาทต่อหุ้น
>> ถึงคิวหุ้น SA (ไซมิส แอสเสท) IPO ตัวสุดท้ายเข้าตลาดหุ้นปี 2563 นี้ ดูเถอะราคาจะแรงแค่ไหน เพราะ 2 ตัวก่อนหน้านี้ IND – KEX ราคาพุ่งปรี๊ด ตัว SA หุ้นเติบโตสูง การเงินแกร่ง เข้าตลาดน่าดูชม เหมือนกัน
>> AMANAH เป็นหุ้นลีสซิ่งที่ถูกพูดถึงมาก หลังจากลากราคาขึ้นไปสูงถึง 4.94 บาท ก่อนจะทุบราคาร่วงลงแตะระดับตํ่าสุดที่ 3.94 บาท หรือลดลงกว่า 10% แม้ว่าบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดี แต่นักวิเคราะห์กลับให้เป้าเอาไว้ตํ่ากว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน ....บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AMANAH กำไรไตรมาส 4/63 มีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 ทำจุดสูงสุด นับตั้งแต่มีการปรับแผนธุรกิจใหม่ (โต 9.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 15.4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ส่วนกำไรใน 9 เดือนแรก คิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี 2563 ในขณะที่ยังคงคำแนะนำ ซื้อ AMANAH โดยมีราคาเป้าหมายที่ 3.80 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ตํ่ากว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแปลกใจอะไรนะคะ มันก็แค่เรื่องอุปทานหมู่เท่านั้นค่ะ
>> ยํ้าเอาไว้อีกทีว่า หุ้นกลุ่มโรงกลั่นอย่าง IRPC BCP SPRC และ ESSO ถึงตอนนี้ยังไม่มีสัญญาที่ชัดเจนว่า ไตรมาส 4/63 จะดีขึ้น รวมทั้งยังไม่มีสัญญาณว่า 1/64 จะมีกำไรอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด ดังนั้น เจ๊เมาธ์ ยังมองว่า ถ้าก้าวข้ามหุ้นโรงกลั่นพวกนี้ไป หาหุ้นกลุ่มใหม่ที่ยังมีอนาคตสดใสกว่าก็น่าจะปลอดภัยดีนะคะ ภาษิตคนเล่นหุ้นเค้าบอกว่า “อย่ารักหุ้นมากกว่ารักต้นทุนในกระเป๋า” แค่นี้ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อแล้วหละค่า