อีกมุมหนึ่งของ “ตระกูลอยู่วิทยา”

31 ก.ค. 2563 | 21:00 น.

อีกมุมหนึ่งของ “ตระกูลอยู่วิทยา” : คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา

ระยะนี้ข่าวของ “บอส กระทิงแดง” ดังมาก ในประเทศไทย ไม่มีใครไม่รู้จัก ผมเองซึ่งมีความใกล้ชิดกับตระกูลนี้มาร่วม 30 ปี ในฐานะผู้แทนจำหน่ายเครื่องดื่มกระทิงแดงในแถบอินโดจีน ผมได้รับรู้ข่าวสารดังกล่าวมาโดยตลอด ด้วยห่วงใยและในใจก็คิดมาโดยตลอดว่าควรหรือไม่ควร ที่จะเข้ามาเขียนในคอลัมม์ “มุมมอง เมียนมา” นี้ ซึ่งวันนี้คงจะถึงเวลาที่ผมจะต้องออกมาพูดในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิด “คุณเฉลียว อยู่วิทยา” หรือที่ผมเรียกว่า “ป๋าเฉลียว” มาช้านาน ได้รับฟังคำสั่งสอนจากท่านมาโดยตลอดกว่า 10 ปี ก่อนท่านจะจากโลกนี้ไป จึงอยากจะมาบอกเล่าเรื่องราวคำสอนของท่านผ่านบทความนี้บ้าง
 

ผมเข้ามาสู่ธุรกิจการค้าชายแดนเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ในช่วงแรกๆ ผมขายเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่งมาก่อน โดยส่งไปขายยังประเทศเมียนมา แต่พอผมไม่สามารถขอคืนภาษีได้ เนื่องจากผมไปขอให้ทางบริษัทฯ นั้น คืนภาษีการส่งออกให้ ทางบริษัทฯนั้นเขาไม่สามารถทำได้ เพราะเขาเป็นตัวแทนเฉพาะในประเทศ ไทยเท่านั้น หากมีการขอคืนภาษีจะถูกเจ้าของแบรนด์ฟ้องร้องและถอนสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนประเทศไทยเอา เขาจึงไม่สามารถทำให้ผมได้ ผมจึงต้องเลิกการส่งออกให้กับทางบริษัทฯนั้นไป
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

เปิดมุมสว่างตระกูล "อยู่วิทยา"

ทำความรู้จัก ต้นตระกูล “บอส อยู่วิทยา” และอาณาจักร “กระทิงแดง” 6.6 แสนล้าน
 

ในวันรุ่งขึ้น ผมไม่รอช้า ตรงไปที่ “บริษัท T.C. Pharmaceutical Industries จำกัด” เพื่อขอจำหน่ายสินค้า “เครื่องดื่มกระทิงแดง” เลย ซึ่งการไปครั้งนั้น ผมไม่ได้นัดหมายทางบริษัทฯ มาก่อน จำได้อย่างสนิทใจเลยว่า ผมไปถึงบางบอนตั้งแต่เช้า 8 โมง ก็เข้าไปขอพบ คุณเฉลียว อยู่วิทยา เลย ทางเลขาฯแจ้งว่าวันนี้ท่านงานยุ่งมาก อยากให้ผมกลับไปก่อน รอวันหลังนัดมาใหม่ค่อยเข้ามาพบ
 

ผมดื้อมากอยากจะพบให้ได้ จึงขอนั่งรอ ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ทางเลขาฯได้ออกมาบอกว่า ท่านงานยังเยอะมาก วันนี้คุณคงจะพบท่านไม่ได้แน่ กลับไปก่อนเถอะ แล้วจะนัดท่านให้ใหม่ ผมก็บอกว่าผมมาไกลมาก ฝ่าการจราจรที่ติดขัดมากๆ ไม่เป็นไรหรอก ผมรอได้

จนกระทั้งเย็นวันนั้นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น จึงอนุญาตให้ผมเข้าพบ การพูดคุยกันวันนั้น ผมได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยได้นำเอาเอกสารการส่งออกสินค้าที่ผมขายอยู่ไปโชว์ด้วย พอเริ่มการเจรจา ผมก็ยกเอาเอกสารเหล่านั้นออกมา เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมมีการค้า-ขายส่งออกจริง ท่านกลับดุผมว่า “คุณเอาลงจากโต๊ะไปเดี๋ยวนี้ เอกสารของคู่ค้าไม่ควรนำมาเปิดเผยให้คู่แข่งทางการค้าดู มันเป็นจริยธรรมทางการค้าที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง”
 

นี่เป็นบทเรียนชิ้นแรกที่ผมได้รับคำสั่งสอนจากท่าน หลังจากที่พูดคุยกันต่อ ผมเข้าใจและเชื่อมั่นในความเป็นสุภาพบุรุษของท่านมาก จึงได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับ “เครื่องดื่มกระทิงแดง” จนถึงทุกวันนี้
คุณเฉลียว อยู่วิทยา

ในช่วงระยะสุดท้ายของการบริหารงานในบริษัทฯ ของท่าน แทบทุกวันตอนบ่ายสามโมงผมมักจะได้รับโทรศัพพ์สายตรงจากท่านเป็นประจำ ซึ่งผมจะต้องอยู่บริษัทรอโทรศัพพ์จากท่านเป็นอย่างนี้ทุกวัน วันไหนที่ท่านดุ ท่านก็จะสอนแบบดุๆ ผมจึงเข้าใจในคำสอนของท่านมาโดยตลอด ในเรื่องความจงรักภักดีต่อประเทศชาติและองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านมีอย่างเปี่ยมล้น ท่านยังมีรูปถ่ายที่ใส่กรอบไว้ที่ห้องทำงานของท่าน เป็นรูปที่ท่านตามเสด็จพระองค์ท่านฯไปปลูกป่าที่ภาคเหนือ
 

ท่านจะเล่าให้ผมฟังถึงพระองค์ ท่านฯ อย่างปลื้มปิติ ทุกครั้งที่ท่านได้ตามเสด็จฯ ท่านจะเล่าถึงเกล็ดเล็กๆ น้อยๆ ของพระองค์ท่านฯ ตลอดเวลา ในด้านจริยธรรมทางการค้า ป๋าเฉลียวจะพร่ำสอนให้เป็นคนที่รักษาคำมั่นสัญญาและรักษาสัจจะยิ่งกว่าชีวิต อีกทั้งยังสอนให้รู้จักดูแลสังคม ท่านเป็นคนที่ปิดทองหลังพระมาโดยตลอด
 

หลายๆ อย่างที่ท่านทุ่มเทให้กับสังคม ท่านไม่เคยนำเอามาอวดอ้างหรือให้ข่าวเลย หลายคนไม่รู้ว่าท่านเคยบริจาคสิ่งของให้กับสังคมอย่างมากมาย แต่กลับไม่มีข่าวออกมาให้เห็น เช่น การสร้างหอพักนักศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สร้างเรือนพักผู้ต้องขังในคุกบางขวาง บริจาคเงินทองมากมายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ หรือแม้กระทั้งทอดผ้าป่าทองคำให้แก่ประเทศชาติผ่านหลวงตามหาบัว ต้นผ้าป่าที่มีแต่แบงค์ดอลล่าร์เต็มศาลาของบริษัทฯ ที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งทำเฉพาะภายในบริษัทและคนใกล้ชิดอีก 3-4 คนเท่านั้น โดยไม่มีการออกข่าวให้สื่อใดๆ เลย

เคยมีนักข่าวหลายท่านพอรู้ว่าผมเป็นคนใกล้ชิดกับท่านคนหนึ่ง ก็มาขอให้ผมช่วยติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์ท่าน ทุกครั้งท่านจะปฏิเสธหมด ท่านบอกผมว่าอย่าทำตัวเป็นคนเด่นดัง เราทำความดีไม่จำเป็นต้องบอกใครเขา ความสุขจากการทำความดีนั้นอยู่ที่ใจเรา ไม่สามารถที่จะเอาความสุขนั้นไปให้ใครเขาได้หรอก ตัวเรารู้ ฟ้ารู้ ดินรู้ แค่นั้นก็เกินพอแล้ว
 

มีหลายเรื่องที่ท่านสอนสั่งผม คนภายนอกอาจจะมองอีกอย่าง แต่สำหรับผม ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่าสิ่งที่ท่านสอนผมนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ท่านไม่เคยอวดอ้างตัวเองกับใครเลย ท่านบอกว่าเราต้องทำตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย และอย่าฟุ้งเฟ้อเป็นอันขาด “คุณอย่ากินเป็นแต่ของหรูๆ ก๋วยเตี๋ยวข้างทางคุณต้องกินให้ได้” ตัวท่านเองแม้จะมีเงินสักเท่าใด ก็ไม่เคยใช้รถหรูเลย รถที่ท่านใช้เป็นประจำคือรถคันเล็กๆ เก่าๆ คันหนึ่ง ที่จอดอยู่หน้าออฟฟิศทุกวันเท่านั้น
 

วันปกติท่านจะใส่เสื้อยืดคอกลมตราห่าน ใส่กางเกงขาสั้นธรรมดามากๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านออกไปซื้อของนอกบ้าน แล้วลืมเอากุญแจติดตัวออกมา พอท่านกดกระดิ่ง ยามที่มาอยู่ใหม่ไม่รู้จักท่าน วิ่งมาถามท่านว่า “ลุงๆ มาหาใคร เจ้าของบ้านเขาไม่ให้เข้านะ” ท่านต้องบอกให้ยามไปเรียกคนในบ้านมา จึงเข้าบ้านได้ วันนั้นยามคนนั้นได้รับรางวัลพิเศษไปเลยครับ
 

มีหลากหลายเรื่องที่ท่านสอน ไม่สามารถนำมากล่าวได้ทั้งหมด แต่ผมเชื่อว่าท่านไม่เคยสอนให้ทำตัวไม่ดี หรือไม่รับผิดชอบต่อสังคม ท่านไม่เคยสอนให้เป็นคนเห็นแก่ตัว ท่านจะบอกให้ดูแลคนทั่วไปและสังคมให้ดีตลอด
 

ดังนั้นเหตุการณ์ของ “บอส กระทิงแดง” ผมก็เชื่อว่า หากป๋ายังมีชีวิตอยู่ จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งผมก็ยังเชื่อว่าแม้ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้ว พี่น้องในตระกูล “อยู่วิทยา” ทุกคน ที่เคยได้รับคำสั่งสอนมามากกว่าผมหลายร้อยพันเท่า จะไม่มีลูกๆ ท่านใดที่เห็นแก่ตัว ที่ไม่ยอมรับผิดชอบต่อสังคมแน่นอน
 

ส่วนรุ่นที่สามอาจจะไม่ได้รับฟังคำสอนจากป๋าเฉลี่ยวมาโดยตรง ก็ควรจะได้รับรู้บางอย่างที่ป๋าเฉลียวท่านกำชับนักหนาว่าอย่างไร จึงหวังเพียงว่า “บอส” คงจะรับฟังได้และกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเถอะ กลับมารับทราบข้อกล่าวหา และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างกล้าหาญ ให้สมกับที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ตระกูลอยู่วิทยา”