ชาบู ดีลิเวอรีแรง เพนกวินฯ เปิดเกมดันยอดขาย

01 ส.ค. 2563 | 08:28 น.

“Penguin Eat Shabu” ปูพรมเจาะตลาดชาบูเมืองไทย เดินหน้าเพิ่มรายได้จากดีลิเวอรีหวังกระจายความเสี่ยง พร้อมพัฒนาเมนูใหม่ ขยายสาขา ลุ้นโควิดระลอก 2 ก่อนปรับแผนรุกปีหน้า

นายธนพงศ์ วงศ์ชินศรี ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารร้าน “เพนกวิน อีท ชาบู” (Penguin Eat Shabu) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แผนงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะให้ความสำคัญกับการขยายตลาดในช่องทางดีลิเวอรี การปรับปรุงระบบโอเปอเรชั่นหลังบ้าน ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้า หลังจากที่บริษัทให้บริการดีลิเวอรีมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายเพิ่มอีก 1 สาขาในย่านพระราม 9 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 8 สาขา เนื่องจากช่วงการระบาดของโควิด 19 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องปิดตัว 2 สาขา ได้แก่ เชียงใหม่ และสีลม

 

“หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้ลูกค้านั่งทานอาหารที่ร้านได้ พบว่าสาขาที่อยู่นอกห้างสรรพสินค้ามียอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนสาขาในห้างเริ่มมียอดขายที่ดีขึ้นแต่ไม่เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยสังเกตว่าลูกค้าปรับพฤติกรรมไม่มาเป็นกลุ่มใหญ่ เน้นความสะอาด อย่างไรก็ตามทางร้านยังคงมุ่งเน้นให้บริการเดลิเวอรีต่อไปเพื่อเป็นรายได้หลักอีกช่องทางหนึ่งที่จะกระจายความเสี่ยง โดยมีแผนพัฒนาเมนูใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากเมนูชาบูเดลิเวอรี และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์มากขึ้น”

ชาบู ดีลิเวอรีแรง  เพนกวินฯ  เปิดเกมดันยอดขาย

ขณะที่แผนงานในปีหน้าบริษัทจะยังคงเดินหน้าขยายการบริการดีลิเวอรีมากขึ้น ควบคู่กับการขยายสาขาใหม่ 1-2 สาขา โดยจะเน้นการขยายสาขาในเขตกรุงเทพฯเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าเป็นโลเคชั่นที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ในตลาดกลาง-บน นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มเมนูใหม่ๆที่ไม่ใช่เมนูชาบู ซึ่งอาจจะเป็นเมนูอาหารจานเดียว ควบคู่กับการวางแผนงานเปิดคลาวด์ คิทเช่น เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดดีลิเวอรีที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายที่มา
จากช่องทางดีลิเวอรีเป็น 10-20% ในช่วง 1-2 ปีนี้

 

“ปกติบริษัทมีแผนการขยายสาขาราว 2 สาขาต่อปีอยู่แล้ว ซึ่งจากการระบาดของของโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจร้านอาหารของเมืองไทยเป็นอย่างมาก ทำให้หลายแบรนด์ต้องปรับทัพ และหลายแบรนด์ก็ล้มหายไปจากตลาด ซึ่งจากปัยจจัยลบต่างๆนี้ประเมินว่าภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในครึ่งปีหลังนี้น่าจะมีการเติบโตลดลงจากปีที่ผ่านมามากพอสมควร และต้องยอมรับว่าช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมธุรกิจร้านชาบูเมืองไทยแข่งขันค่อนข้างรุนแรง จนกลายเป็นเรดโอเชี่ยนและมีผู้เล่นล้มหายตายจากไปช่วงที่ผ่านมา และเหลือเพียงผู้ประกอบการที่เป็นตัวจริง ซึ่งบริษัทมองว่าการเข้ารุกตลาดในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสอันดีในการสร้างการเติบโต และชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากแบรนด์ที่หายไป”

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมรายได้ของบริษัทในสิ้นปีนี้คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ทรงตัวจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัจจัยลบในแง่ของการระบาดของโควิด19 ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ขณะที่เป้าหมายในปีหน้ายังคงเป็นเรื่องที่ยากจะประเมิน เพราะบริษัทต้องปรับแผนงานหรือจับตามองสถานการณ์การระบาดระลอก 2 ว่าจะกลับมาหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีปัจจัยลบดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้องมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตและพร้อมเดินหน้ารุกตลาดเต็มสูบอย่างแน่นอน 

 

 

หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,596 วันที่ 30 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563