นางสาวอรวัสสา ศยามเศรณี กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เวคกิ้งบี คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์ “เวคกิ้งบี” (WAKINGBEE) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ล่าสุดบริษัทได้ผู้ถือหุ้นใหม่ 2 ราย ได้แก่ โรงงานสปอร์ตแวร์ และแต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ดาราสาว เข้ามาช่วยดูแลด้านการผลิตและภาพรวมของธุรกิจ ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดเสื้อผ้าแนวสปอร์ตแฟชั่น ที่พบว่าปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทและมีการเติบโตต่อเนื่อง จากกระแสความนิยมที่หันมาออกกำลังกายมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดในปีนี้บริษัทจึงเริ่มต้นด้วยการรีแบรนด์เวคกิ้งบีครั้งแรกในรอบ 5 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Sensible Sweat” เพื่อตอบรับเทรนด์การออกกำลังกายของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน พร้อมกันนี้ยังปรับเปลี่ยนโลโกใหม่ เพื่อให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์ที่เน้นการสร้างความสมดุลและใช้ชีวิตแอกทีฟ เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่มีอายุ 20-50 ปี ด้านกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทจะเพิ่มความหลากหลายของสินค้า โดยปรับระดับราคาเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงและจับต้องได้ง่าย โดยแบบเบสิกเริ่มต้นที่ระดับราคา 590 บาท จากเดิมที่มีระดับราคาเริ่มต้น 1,000 - 2,000 บาท นอกจากนี้เพิ่มขนาด (Size) XL เพื่อรองรับสรีระลูกค้าได้มากขึ้น และพัฒนาผ้าบีเลิฟด์ (Beeloved) ซึ่งเป็นผ้าที่เหมาะสำหรับการใส่เพื่อออกกำลังกายโดยเฉพาะ
อรวัสสา ศยามเศรณี
“การได้โรงงานสปอร์ตแวร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตให้กับแบรนด์ระดับโลก มาเป็น Strategic Partner ช่วยให้สามารถพัฒนาสินค้าและการผลิตได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่แต้ว-ณฐพร ซึ่งเดิมเป็น Guess Designer เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น ช่วยดูแลภาพรวมของบริษัท ทำให้บริษัทมีความพร้อมในการเดินหน้ารุกตลาดมากขึ้น”
โดยในปีนี้จะพัฒนาคอลเลกชันใหม่ออกทำตลาด 5-6 คอลเลกชันเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว เพื่อรองรับกับความต้องการของ กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งพบว่าปัจจุบันผู้หญิงไทยที่นิยมออกกำลังกายจะมีชุดออกกำลังกายเฉลี่ย 5-15 ชุดต่อคน ทำให้เป็นโอกาสในการขยายตลาดมากขึ้น อีกทั้งในปีนี้บริษัทมีแผนขยายร้านเพิ่มขึ้นอีก 2 ร้านจากปัจจุบันที่มีอยู่ 2 ร้านได้แก่ แฟล็กชิพสโตร์ที่เซ็นทรัลเวิลด์และป๊อป-อัพ สโตร์ ที่เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว และเคาน์เตอร์ในห้างอีก 9 แห่ง
อย่างไรก็ดี จากวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ส่งผลทำให้ลูกค้าไปเดินห้างน้อยลง และหันไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ถือเป็นโอกาสดีเพราะบริษัทเพิ่งรีลอนช์เว็บไซต์ใหม่ พร้อมกับจัดโปรโมชันรองรับ ทำให้เชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์และมียอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 200%
“เดิมในปีนี้บริษัทมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศจีน แต่เมื่อเกิดวิกฤติเช่นนี้จึงต้องชะลอไปก่อน ขณะที่ในตลาดฮ่องกงและไต้หวัน พบว่ายังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เห็นได้จากยอดสั่งซื้อในช่วงซัมเมอร์ที่เข้ามา”
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,557 วันที่ 15-18 มีนาคม 2563