กลับมาฮือฮาอีกครั้ง เมื่อสื่อนอกอย่าง “บลูมเบิร์ก” รายงานว่า มี 3 กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย จะซื้อกิจการเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย
โดย 3 กลุ่มบริษัทใหญ่ จาก 3 ตระกูลคือ ซีพี ของตระกูลเจียรวนนท์ , เซ็นทรัล กรุ๊ป ของตระกูลจิราธิวัฒน์ และทีซีซี กรุ๊ป ของตระกูลสิริวัฒนภักดี
งานนี้เหมือน “ซีพี” ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ จะมีภาษีมากสุด เพราะถือเป็นผู้ปลุกปั้น ก่อร่างสร้างชื่อ “เทสโก้ โลตัส” ในเมืองไทย ก่อนที่จะขายต่อออกไปในช่วงวิกฤต
ก่อนหน้านี้ “เจ้าสัวธนินท์” เองก็เคยออกมาบอกว่า “การจะไปขอซื้อเทสโก้ โลตัสโดยที่เขาไม่ขาย เป็นการเสียมารยาท แต่หากเขาจะขาย เราก็ยินดีที่จะซื้อ”
ปัจจุบันทรัพย์สินของเทสโก้ โลตัสในไทยมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3 แสนล้านบาท ซึ่งเรื่องเงินสำหรับ “ซีพี” ไม่น่าจะใช่ปัญหา ยิ่งในช่วงวิกฤตของ “บริษัทเทสโก้” ในอังกฤษ การเจรจาต่อรองจึงไม่น่ายากเย็น
แต่หาก “ซีพี” ต้องการซื้อกิจการของเทสโก้ โลตัสจริง แน่นอนว่าสิ่งที่ซีพีจะเผชิญคือ “การผูกขาด” หรือมีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อครั้งตัดสินใจซื้อ “แมคโคร” ซีพีก็ถูกข้อกล่าวหานี้เช่นกัน
ล่าสุดนายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ กรรมการการแข่งขันทางการค้าและโฆษกคณะกรรมการ การแข่งขันทางการค้า (กขค.) ได้ออกมาเตือนเช่นกันว่า หากการซื้อขายกิจการ “เทสโก้ โลตัส” เกิดขึ้นจริง จะต้องดำเนินการขออนุญาตและต้องได้รับการอนุญาตจากกขค. ก่อน ที่จะทำการรวมธุรกิจได้ เนื่องจากเข้าข่ายเป็นการรวมธุรกิจ ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560
โดยพ.ร.บ. แข่งขันทางการค้าฯ ได้กําหนดแนวปฎิบัติไว้ 2 แนวทาง คือ 1. เมื่อมีการรวมธุรกิจแล้วอาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรือเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีอํานาจเหนือตลาด คือมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% และมียอดเงินขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นผู้ประกอบธุรกิจ 3 รายแรกในตลาดมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันเกิน 75% ต้องขออนุญาต จาก กขค. ก่อนและต้องได้รับการอนุญาตจึงจะทําการรวมธุรกิจได้
2. เมื่อมีการรวมธุรกิจแล้ว อาจก่อให้เกิดการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสําคัญ ต้องแจ้งให้ กขค. ทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่รวมธุรกิจ โดย กขค. ได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าเป็นการรวมธุรกิจที่มียอดเงินขาย ในตลาดตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และไม่ก่อให้เกิดการผูกขาด หรือ เป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอํานาจเหนือตลาด
วันนี้ เครือซีพี เป็นเจ้าของกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ 2 รายคือ “เซเว่น อีเลฟเว่น” โดยบมจ. ซีพี ออลล์ และ “แม็คโคร” โดยบมจ.สยามแม็คโคร แม้แบรนด์หนึ่งจะเป็นร้านสะดวกซื้อ หรือคอนวีเนียน สโตร์ และอีกแบรนด์เป็นศูนย์ค้าส่ง หรือแคช แอนด์ แครี่ แต่ต้องยอมรับว่าทั้งสองแบรนด์เป็นเบอร์ 1 ในตลาด
ปี 2561 บมจ. ซีพีออลล์ มีรายได้รวม 5.27 แสนล้านบาท เติบโต 7.9% มีกำไร 2.09 หมื่นล้านบาท ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 2.82 แสนล้านบาท เติบโต 9.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 1.05 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ บมจ. สยามแม็คโคร มีรายได้รวม 1.88 แสนล้านบาท เติบโต 3.2% มีกำไร 5,942 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 1.03 แสนล้านบาท มีกำไร 2,703 ล้านบาท
เครือซีพี มีรายได้จากกลุ่มค้าปลีก 2 รายใหญ่นี้กว่า 7 แสนล้านบาท หากซื้อกิจการของเทสโก้ โลตัสสำเร็จ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีก 1.98 แสนล้านบาท คำนวณเล่นๆ เครือซีพี จะมีรายได้จากธุรกิจค้าปลีกเกือบ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 3 ของอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งเมืองไทย ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท อาจจะไม่เข้าข่ายผูกขาด แต่หากเจาะลึกเข้าไปดูในธุรกิจ “ร้านสะดวกซื้อ” ซึ่งปัจจุบัน “เซเว่น อีเลฟเว่น” เป็นเบอร์ 1 ในตลาดซึ่งมีอยู่กว่า 1 หมื่นสาขา เมื่อควบรวมกับ เบอร์ 2 อย่าง “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” ซึ่งมีอยู่กว่า 1,600 สาขา ย่อมถือครองตลาดเกิน 75% แน่นอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีลยักษ์‘โลตัส’3แสนล้าน ‘ซีพี-เจริญ-เซ็นทรัล’โดดซื้อยึดตลาดค้าปลีก