ส.อ.ท. ผนึก คลัง ดันตรา MiT รับรอง SMEs เข้าตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

17 มี.ค. 2564 | 09:10 น.

ส.อ.ท. ผนึก คลัง ดันตรา MiT รับรอง SMEs เข้าตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เชื่อเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลังในการผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” (MiT) เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน หันมาใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาอนุมัติกฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประกาศเป็นกฎกระทรวงที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 8  ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จากวิกฤตโควิด-19 (Covid-19) และการแข่งขันทางการค้าในเวทีโลกที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการพึ่งพาตลาดส่งออกมากจนเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยได้  ส.อ.ท. ได้เห็นถึงปัญหาดังกล่าวและต้องการหันกลับมาสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดโลกที่มีความผันผวนสูง รวมทั้งการส่งเสริมให้เพิ่มการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รากฐานการผลิตของไทยมีความเข้มแข็งตลอดทั้งโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สามารถต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง

โดยจะส่งผลให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ และช่วยสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตในระยะยาว จึงได้ริเริ่มโครงการ Made in Thailand ขึ้น  เพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็ง และสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าไทยได้มากขึ้น  โดยเฉพาะโอกาสในการเข้าถึงระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีจำนวนโครงการและมูลค่าค่อนข้างสูงในแต่ละปี รวมไปถึงยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้นจากคู่ค้าและผู้บริโภค การสร้างโอกาสในการขยายการค้าไปยังต่างประเทศที่นิยมสินค้าไทยได้มากขึ้นด้วย

สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท.

โครงการ Made in Thailand จะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งหากเพิ่มสัดส่วนให้ได้ตามที่กำหนดไว้ 60% ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทยเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านบาท และยังช่วยเพิ่มเม็ดเงินให้เกิดการหมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 และยังทำให้ธุรกิจของคนไทยเข้มแข็งมากขึ้น และมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น  เพราะสินค้าที่ได้รับเครื่องหมาย MiT จะต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการทำตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยในระยะต่อไปสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังได้วางแผนการผลักดันสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand  ไปสู่การจัดซื้อในห่วงโซ่การผลิตของภาคอุตสาหกรรม และผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและบริโภคสินค้า Made in Thailand มากขึ้นด้วย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันด้านการตลาดในประเทศได้  จึงได้ร่วมกับ ส.อ.ท. ในการผลักดันนโยบาย Made in Thailand ดังกล่าว โดยความคาดหวังจากกฎกระทรวงฉบับนี้ที่สนับสนุนหน่วยงานให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) คือผู้ประกอบการสามารถเพิ่มยอดขาย และหน่วยงานภาครัฐได้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยตามที่ต้องการ

ภาครัฐมั่นใจว่าการสนับสนุนครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการและห่วงโซ่เอสเอ็มอี (SMEs) เข้มแข็งขึ้น จากยอดการซื้อจากภาครัฐ ซึ่งในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับเสริมศักยภาพการแข่งขันและลดภาระด้านการเงินที่ต้องนำมาหมุนเวียนในธุรกิจ

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

“ภาครัฐมีความตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะผลักดันการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศให้สำเร็จ จึงอยากจะขอเชิญชวนผู้ประกอบการมาร่วมกันขึ้นทะเบียนขอการรับรอง Made in Thailand กับ ส.อ.ท. ให้มากที่สุด เพื่อจะได้มีสินค้าให้หน่วยงานภาครัฐได้จัดซื้อจัดจ้างต่อไป”

นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การผลักดันการรับรองเครื่องหมาย Made in Thailand  โดยการส่งเสริมการจัดจ้างของภาครัฐในครั้งนี้ จะเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ภาคอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาล ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 60,000 โรง รวมทั้งกลุ่ม SMEs ที่เป็นซัพพลายเชนอีกเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเชื่อมโยงไปยังแรงงานอีกกว่า 5 ล้านคน มีโอกาสเพิ่มรายได้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำเม็ดเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ พร้อมฟื้นฟูภาระหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID – 19 ที่ผ่านมา

กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมร่วมสนับสนุนกระตุ้นผู้ประกอบการ SMEs ให้ยกระดับสินค้าให้ได้มาตรฐาน เพื่อเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยมีความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการในการยกระดับมาตรฐานสินค้าภาคอุตสาหกรรม ก่อนเข้าการรับรอง Made in Thailand กับ ส.อ.ท. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยให้มากขึ้น ซึ่งภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างเพื่อสร้างความยืดหยุ่น โดยลดการพึ่งพิงการนำเข้าสินค้าและหันมาพัฒนาและสร้างความเข้มแข็ง

ส่งเสริมการผลิตที่สามารถสร้างสายการผลิตและมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นภายในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรม SMEs  โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งใกล้ชิดกับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมจะได้ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนผู้ประกอบการให้มาขึ้นทะเบียนขอการรับรอง Made in Thailand รวมถึงร่วมมือกับทั้งกระทรวงการคลังและ ส.อ.ท. ในการผลักดันและส่งเสริมสินค้า Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างในภาคธุรกิจ และส่งเสริมการบริโภคในระยะยาวต่อไป
 

นางสาวนิภา ลำเจียกเทศ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง กล่าวว่า สาระสำคัญของกฎกระทรวงการคลัง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 คือ การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่ผลิตในประเทศไม่น้อยกว่า 60% ของพัสดุที่จะใช้ และในส่วนของงานก่อสร้างกำหนดให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศก่อน โดยต้องไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่า หรือปริมาณเหล็กหรือเหล็กกล้าที่ใช้ในงานก่อสร้างทั้งหมดในครั้งนั้น
              อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่หน่วยงานรัฐไม่สามารถใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศได้ตามอัตราที่กำหนดได้ ไม่ว่าจะเกิดจากการขาดแคลน หรือผู้ประกอบการไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือเหตุผลอื่น ๆ หน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจเหนือขึ้นไป 1 ขั้นก่อน ในส่วนของการจัดจ้างงานก่อสร้าง หากหน่วยงานของรัฐไม่สามารถใช้เหล็กหรือเหล็กกล้าไม่ครบตามข้อกำหนดจำนวน 90% ได้ ให้หน่วยงานรัฐไปจัดซื้อพัสดุชนิดอื่น ๆ ที่ผลิตภายในประเทศให้มีสัดส่วนครบตามที่กำหนด

ซึ่งทางกรมบัญชีกลางได้ส่งเวียนแนวปฏิบัติไปยังส่วนราชการทุกหน่วยงานแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะได้ทยอยออก TOR จัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนต่อไปของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในประเทศไทยมาร่วมกันขึ้นทะเบียน Made in Thailand ให้มากๆ

นางพิมพ์ใจ  ลี้อิสสระนุกูล ประธานสายงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ส.อ.ท.  กล่าวว่า ขณะนี้ ส.อ.ท. ได้มีการเตรียมความพร้อมในการรับขึ้นทะเบียนสินค้า MiT โดยได้เริ่มเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ระบบรับรองได้รับคำปรึกษาด้านการดูแลความลับของข้อมูลจากที่ปรึกษาระดับ Big 4 และ ส.อ.ท. ดูแลด้านนี้อย่างมีหลักการ ทั้งด้านระบบและด้านจรรยาบรรณเจ้าหน้าที่ ได้มีการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการในการลงทะเบียน เพื่อให้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้จากโครงการ Made in Thailand อย่างต่อเนื่องและยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มการลงทะเบียนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ

การรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand จะใช้แนวทางการคำนวณมูลค่าตามหลักการ ASEAN Content โดยปรับให้ตรงวัตถุประสงค์ของการสนับสนุนสินค้าผลิตในประเทศ ซึ่งต้องมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบผลิตในประเทศอย่างน้อย 40%
              โดยคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand จะเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างประเทศ ที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีการจดทะเบียน มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องในประเทศไทย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด

หากสินค้าใดที่ผ่านการรับรองจะได้รับเอกสารรับรองที่ ส.อ.ท. ออกให้แก่ผู้ประกอบการนำ ไปใช้แสดงคุณสมบัติสินค้า Made in Thailand กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อไปในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางอย่างเป็นระบบ
              สำหรับกลุ่มสินค้า Made in Thailand ที่มีโอกาสเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ อาทิ วัสดุครุภัณฑ์สำนักงาน, ครุภัณฑ์การศึกษา, จอมอนิเตอร์, เฟอร์นิเจอร์, ชุดยูนิฟอร์ม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน, วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง อาทิ เหล็ก, ปูนซีเมนต์  รวมถึงจะมุ่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลไปยังกลุ่มผู้ค้าส่ง ค้าปลีก (Trader) ที่เข้าร่วมยื่นเสนองานกับภาครัฐให้เข้าใจในกฎกระทรวงฉบับใหม่และการนำสินค้า Made in Thailand ไปเสนอต่อภาครัฐด้วย

“ส.อ.ท. ตั้งเป้าปี 2564 จะมีผู้ยื่นขอการรับรอง Made in Thailand ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายการสินค้า เป็นโอกาสสำคัญมากในการสร้างหรือเพิ่มยอดขายของผู้ประกอบการกับภาครัฐในครั้งนี้”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :