โควิด-19 ระลอกใหม่ฉุดยอดใช้น้ำมันปี 64 ติดลบ 1.9-2.9%

19 ม.ค. 2564 | 04:00 น.

“สนพ.” เผยโควิด-19 ระลอกใหม่ฉุดยอดใช้น้ำมันปี 64 ติดลบ 1.9-2.9%

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงประมาณการความต้องการใช้พลังงานในปี 64 ว่า ได้แบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ 1 ครั้ง และกรณีที่เกิดการระบาดมากกว่า 1 ครั้ง ในรอบปี 64 ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

              การใช้พลังงานขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2-1.9% จากการเพิ่มขึ้นของพลังงานเกือบทุกประเภท ยกเว้นการใช้น้ำมันที่ลดลง ติดลบ1.9%-ลบ-2.9% โดยคาดการณ์ว่าการใช้ก๊าซธรรมชาติจะมีการใช้เพิ่มขึ้น 0.1-4.1% การใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์คาดว่าจะมีการใช้ค่อนข้างทรงตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1-0.4% ส่วนการใช้พลังงานทดแทน คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้น 5% จากนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนของภาครัฐ และไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้น 0.1%

              การใช้น้ำมันสำเร็จรูป ปี 64 คาดว่ามีการใช้ลดลงติดลบ 1.9%-ลบ 2.9% โดยคาดว่าการใช้น้ำมันเครื่องบิน จะลดลงติดลบ45.8-ลบ 51.5% ตามการหดตัวของการท่องเที่ยว  และการใช้ LPG ในส่วนที่ไม่รวมการใช้เป็น Feed stocks ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะลดลงติดลบ 0.7 -ลบ 2.7% ส่วนการใช้น้ำมันดีเซล คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8-1.3% ส่วนการใช้เบนซินและแก๊สโซฮอล์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3 - 0.8%

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท

              การใช้ LPG โพรเพน และบิวเทน ปี 64 คาดว่าจะมีการใช้ลดลงติดลบ 1.0%-ลบ 5.5% โดยการใช้ในภาคครัวเรือน คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.1-2.5% และภาคอุตสาหกรรม คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.2-3.6% ขณะที่การใช้ในรถยนต์คาดว่าจะลดลงติดลบ 12.2% - ลบ 15.8%

ก๊าซธรรมชาติ ปี 64 คาดว่าการใช้จะเพิ่มขึ้น 0.1 - 4.1% โดยเพิ่มขึ้นเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามการใช้ในภาคขนส่งคาดว่าจะยังคงลดลงต่อเนื่องจากการที่ผู้ใช้ NGV เปลี่ยนกลับมาใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันยังคงไม่สูงมากนัก

              การใช้ไฟฟ้า ปี 64 คาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 191,029 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 2% ตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศและตามการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ

              อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (Covid-19) และปัจจัยอื่นๆ อาทิ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก มาตรการในการป้องกันโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะส่งผลต่อการใช้พลังงาน

              “แนวโน้มการใช้พลังงานปี 64 นั้น สนพ. ได้มีการพยากรณ์โดยอ้างอิงสมมุติฐานด้านเศรษฐกิจ และนโยบายที่เกี่ยวข้องมาเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้พลังงาน โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ คาดว่าในปี 64 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.5 - 4.5% ด้านราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก สศช. คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2564 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 41.0 – 51.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าจะอยู่ในช่วง 30.3 – 31.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 64 จะขยายตัวลดลง 4.9% โดย สนพ. ได้คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น”

นายวัฒนพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สถานการณ์พลังงานปี 63 นั้น ความต้องการใช้พลังงานเกือบทุกชนิดเชื้อเพลิงลดลง ในขณะที่พลังงานทดแทนมีการใช้เพิ่มขึ้น 0.4% ไฟฟ้านำเข้ามีการใช้เพิ่มขึ้น 7.1% เนื่องจากปลายปี 62 มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำของประเทศลาวเริ่มจ่ายเข้าระบบจำนวน 3 โรง

              การใช้น้ำมันสำเร็จรูป ลดลง 11.5% โดยการใช้น้ำมันดีเซลลดลง 2.6% ส่วนหนึ่งมาจากการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลงจากสถานการณ์ภัยแล้งช่วงต้นปี ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ในช่วงปลายปี รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้การใช้รถเพื่อเดินทางลดลง การใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ลดลง 1.2% จากมาตรการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) และลดการเดินทางข้ามจังหวัด

การใช้น้ำมันเครื่องบิน ลดลง 61.8% เนื่องจากมาตรการระงับการบินจากต่างประเทศและลดการบินในประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีทำให้การบินในประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ การใช้ LPG ลดลงเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะการใช้ในภาคขนส่ง ลดลง 26.3% จากการปรับลดลงของราคาขายปลีกน้ำมัน ส่งผลให้ผู้ใช้รถยนต์ LPG บางส่วนหันมาใช้น้ำมันทดแทน การใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ลดลง 17.7% การใช้ในภาคอุตสาหกรรม ลดลง 7.9% และภาคครัวเรือนมีการใช้ลดลง 4.5%

              การใช้ก๊าซธรรมชาติ ลดลง 8.2% โดยลดลงทุกสาขาเศรษฐกิจ ซึ่งลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ด้านการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลง 28.5% จากผู้ใช้รถยนต์ NGV บางส่วนเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเนื่องจากราคาไม่สูงมากนัก ด้านการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ เพิ่มขึ้น 0.2% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรม

                  การใช้ไฟฟ้า ลดลง 2.9% โดยลดลงเกือบทุกสาขา โดยกลุ่มธุรกิจหลักที่มีการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างชัดเจน ได้แก่ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคารและไนต์คลับ ซึ่งมีผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์ (Lock Down)

              การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้พลังงานของประเทศไทย ปี 2563 ลดลงในทุกภาคเศรษฐกิจ ทั้งการผลิตไฟฟ้า ภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจอื่นๆ โดยคาดว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้พลังงานอยู่ที่ระดับ 222.8 ล้านตัน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์   ลดลงจากปีก่อน 11.1%