ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ว่า การประชุมคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (บอร์ดอคส.) ในวันนี้ (25 ก.ย.2563) ตั้งแต่เวลา 14.00 น.ซึ่งมีวาระเร่งด่วนและระลับเกี่ยวกับการซื้อขายถุงมือยาง 1.12 แสนล้านบาท ปริมาณ 500 ล้านกล่อง โดยใช้เวลาการประชุมนานกว่า 6 ชั่วโมง เพื่อที่จะหาทางออกกับกรณีนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบต่อองค์กร อีกทั้ง เจ้าหน้าที่ อคส. สหภาพ อคส. ต่างก็ติดตามและให้ความสนใจในเรื่องนี้ โดยเบื้องต้น ในการประชุมหารือครั้งนี้ ได้มองไว้ 2 แนวทาง คือ การระงับสัญญา หรือ ยกเลิกสัญญา และการระงับการดำเนินการ สำหรับการซื้อขายถุงมือยางดังกล่าว ซึ่งมีการวางเงินมัดจำไว้แล้ว 2,000 ล้านบาท
นายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ด อคส. ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ระงับการดำเนินการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายดังกล่าว โดยได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการ อคส.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับได้ทันที เพราะที่ประชุมมีมติเห็นร่วมกันว่าเป็นการดำเนินการไม่ถูกต้อง
(นายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมบอร์ดอคส.)
และจากการสอบถามถึงอำนาจของ ผู้อำนวยการ อคส. ตามกฎหมายและหน้าที่ ภายหลังจากที่ประชุมมีมติเห็นชอบไปให้ระงับการดำเนินการทั้งปวงนั้น มีอำนาจที่จะระงับสัญญา หรือ ยกเลิกสัญญาได้หรือไม่ เบื้องต้น ประธานบอร์ด อคส. ได้ชี้แจงให้ไปสอบถามกับทาง ผอ. เอง ซึ่งตนไม่สามารถตอบได้
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น อคส. มีหนังสือร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. เพื่อร้องเรียนและกล่าวหาพ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง องค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการอคส. กับพวกว่าได้กระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ ในการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุดต่อไป
ทั้งนี้ อคส.ยังได้แจ้งไปยังสำนักงานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่ออายัดบัญชีเงินฝากธนาคาร และได้กล่าวทุกข์ร้องโทษไปยังพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไว้แล้วชั้นหนึ่ง เพื่อที่จะดำเนินการนคดีดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลนิติบุคล7บริษัท ที่ทำสัญญาสั่งซื้อถุงมืยางจากองค์การคลังสินค้า(อคส.)พบว่า 5 ใน 7บริษัท เป็นนิติบุคคลไทย ได้แก่1.บริษัท 24คลีนเอเนอร์จี้ โดยมีการจดทะเบียนธุรกิจเมื่อวันที่ 24ธ.ค.2558 มีมูลค่าทุนจดทะเบียนมูลค่า5ล้านบาท มีกรรมผู้ลงนาม ประกอบด้วย1.นางเพ็ญพัฒน์ โดเกล 2.นายแอนเดล โยรก์โดเกล ซึ่งจดทะเบียนประเภทธุรกิจผลิตเครื่องและอุปกรณ์ในทางการแทพย์(ยกเว้นทันตกรรม) โดยเสนอซื้อถุงมืยางจากอคส 225บาทต่อกล่อง มูลค่าสัญญารวม 11,700ล้านบาท
(นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการอคส.)
2.บริษัทไทยสไมล์เทรด จดทะเบียน ธุรกิจวันที่17ต.ค 2560 ทุนจดทะเบีนน2ล้านบาท มีกรรมการผู้ลงนาม คือ นางฉันทิศา หวง ประเภทธุรกิจการแปรรูปและการถนอนผลไม้และผักด้วยวิธีอื่นๆซึ่งไม่ได้จัดประเภทไว้ที่อื่น งบดุลกำไรปี2565 สั่งซื้อถุงมือยางจากอคส.ราคากล่องละ215บาท มูลค่าสัญญารวม 2,580ล้านบาท 3.เคเค.ออยล์แอนด์แก๊ส จดทะเบียนธุรกิจ วันที่22พ.ค.2556 ทุนจดทะเบียน100ล้านบาทมีกรรมการลงนาม 1.นายวงษ์บดีกาญจน์ ทองโสภณ 2.นางกรรณิการ์ หนุนภักดี จดทะเบียนธุรกิจประเภทการขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านค้าเฉพาะสถานีปั้ม สั่งซื้อถุงมือยางจากอคส.220บาทต่กล่อง มูลค่าสัญญารวม 11,000ล้านบาท
4.บริษัทเดอะควีนเพาเวอร์ จดทะเบียนธุรกิจ วันที่ 29ต.ค2558 ทุนจดทะเบียน1ล้านบาท มีกรรมการลงนาม ประกอบด้วย 1.นายวิชชิ ศรีรักษ์อักษร 2.นายไพโรจน์ จารุวงศ์วัฒนาและ3นายเมธี อธิจิตสกุล ประเภทธุรกิจการขายส่งเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคาซื้อถุงมือยางกับอคส. เสนอซื้อถุงมืยางราคา 210บาทต่อกล่อง มูลค่าตามสัญญา 2,520ล้านบาทและ5บริษัทเอเอเมทิสต์ จดทะเบียนวันที่ 23ก.ค.2562 มีกรรมการลงนาม คือ นางสาวกัญณัฏฐ์ พฤกฒิธานินทร์ ประเภทธุรกิจกิจกรรมงานวิศวกรรมและการให้การปรึกษาทางด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้อง เสนอซื้อถึงมือยางราคา210บาทต่อกล่อง มูลค่าตามสัญญา 21,00ล้านบาท
(ผอ.อคส.เดินทางไปยืนหนังสือต่อDSI)
โดยทั้ง5บริษัทดังกล่าว ในสัญญาไม่มีการระบุ ว่าไม่มีหลักประกันของสัญญา,ไม่มีกำหนดส่งสินค้าเป็นงวดที่แน่นอน ,ไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ชื้อและไม่มีการกำหนดการสิ้นสุดแห่งสัญญา ส่วนอีก2บริษัทที่เสนอซื้อถุงมือยางจากอคส.เป็นบริษัทต่างชาติ