เปิดยุทธศาตร์กนอ.ปี 69 มุ่งสร้างระบบนิเวศอุตฯ เพิ่มความสามารถแข่งขัน

24 ธ.ค. 2568 | 03:35 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 03:35 น.

เปิดยุทธศาตร์กนอ.ปี 69 สุเมธประกาศเดินหน้าสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรม และนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ มุ่งเพิ่มความสามารถแข่งขัน

KEY

POINTS

  • กนอ. ปรับยุทธศาสตร์ปี 69 สู่การเป็นผู้สร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมและนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ ภายใต้แนวคิด "Green & Digital Innovation"
  • มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) โดยตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 พร้อมลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดในนิคมฯ หลัก
  • พลิกโฉมองค์กรสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ด้วยการพัฒนาระบบการเงินแบบ Cashless เต็มรูปแบบ คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ภายในปี 2569
  • เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน EEC เช่น ท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 และ Smart Park ควบคู่กับการสนับสนุน SMEs เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในปี 69 กนอ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์โดยมุ่งสู่การเป็น Green & Digital Innovation ซึ่งทิศทางการดำเนินงานจะปรับบทบาทจากผู้พัฒนาที่ดินสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์ระบบนิเวศอุตสาหกรรมและนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Investor) 

โดยมุ่งเน้น 2 แกนหลัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย

  • การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ซึ่งในปี 2568 มีแผนขยายผลการตรวจรับรอง Carbon Neutrality ให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. บริหารจัดการเองทั้ง 13 แห่ง ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco I.E.) ไปสู่ SDG I.E. ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ นอกจากนี้ ยังเตรียมร่วมมือกับธนาคารโลก (World Bank) และกระทรวงการคลัง ดำเนินโครงการนำร่องในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และแหลมฉบัง ด้วยงบลงทุนกว่า 3,400 ล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบพลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์ลอยน้ำและโซลาร์รูฟท็อป รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 91,250 ตันต่อปี และสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กร 
  • พลิกโฉมสู่องค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) โดยการพัฒนาระบบการเงินแบบ Cashless เต็มรูปแบบ เพื่อรองรับการชำระเงินดิจิทัลทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Mobile Banking หรือ QR Payment เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ เพิ่มความโปร่งใส และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูลระดับสากล โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในปี 2569 

เปิดยุทธศาตร์กนอ.ปี 69 มุ่งสร้างระบบนิเวศอุตฯ เพิ่มความสามารถแข่งขัน

ส่วนความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญในปีงบประมาณที่ผ่านมา กนอ. ได้เร่งขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC)

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) งานถมทะเลและระบบสาธารณูปโภค มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 93.68% ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดย กนอ. กำลังเร่งดำเนินการในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในระยะที่ 2 เพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือสินค้าเหลวและคลังสินค้า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เช่นเดียวกับนิคมอุตสาหกรรม Smart Park ที่มีความคืบหน้าการก่อสร้าง 93.68% พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (New S-Curve) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ กนอ.ยังเตรียมดำเนินการร่วมกับพันธมิตรหนุน SMEs เข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก ผ่านแนวทาง Quick Big Win โดยล่าสุดได้จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ Supply Chain ไทย 

และผลักดันให้เกิดการใช้ Local Content ภายในประเทศมากขึ้น รวมถึงการเตรียมจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อ SMEs โดยเฉพาะ เพื่อเป็นพื้นที่ให้บริการและสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยอย่างครบวงจร 

นายสุเมธ กล่าวอีกว่า ภาพรวมสถานการณ์การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในปีงบประมาณ 68 ที่ผ่านมา มียอดขายและเช่าพื้นที่เติบโตน่าพอใจ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานพาหนะและอุปกรณ์ (13.48%) 

,ผลิตภัณฑ์โลหะ (10.45%) ,เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (9.68%), เคมีภัณฑ์ (7.82%) และผลิตภัณฑ์พลาสติก (6.55%) 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจากญี่ปุ่น (23.41%) ยังคงครองแชมป์การลงทุนสูงสุด ตามมาด้วย จีน (16.76%) สิงคโปร์ (9.93%) และสหรัฐอเมริกา (5.79%) ส่งผลให้ปัจจุบัน กนอ. มีเม็ดเงินลงทุนสะสมรวมกว่า 15.32 ล้านล้านบาท และมีการจ้างงานในระบบกว่า 1 ล้านคน