นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เป็นข่าวดีที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563มีผลบังคับใช้ เมื่อเงินออกมาแล้วก็ต้องไปว่าจะจัดสรรอย่างไรให้เงินลงมาถึงประชาชนได้เร็วที่สุด ภาครัฐควรจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลังให้ดี อะไรที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจฐานรากต้องรีบทำก่อน และควรใช้งบนี้กระจายรายได้ไปสู่เมืองรองให้มากขึ้น เช่นใช้งบประมาณในการอบรม และจัดสัมมนา
กลินท์ สารสิน
“ อย่าลืมว่าเงินคือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงปากท้อง หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและหลายเรื่องสามารถทำได้ทันที”
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ถือเป็นข่าวดีที่จะมีเงินลงมากระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงินในวงเงิน 3.2 ล้านล้านนี้จะเป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และจะเป็นเครื่องยนต์หลักตัวเดียวที่จะช่วยได้ หลังจากที่เครื่องยนต์ตัวอื่นไม่แล่น ภาคเอกชนก็หวังว่ารัฐบาลจะรีบเบิกจ่ายในการลงทุนให้เร็วขึ้น คาดว่าภายในสิ้นเดือนกันยายนปี2563นี้ซึ่งเป็นช่วงสิ้นปีงบประมาณนี้จะสามารถเบิกจ่ายได้ เม็ดเงินจะได้ลงระบบสร้างสภาพคล่องทันที
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
สำหรับงบประมาณปี 2563 มีวงเงินรายจ่ายจำนวน 3,200,000 ล้านบาท เป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิจำนวน 2,731,000 ล้านบาท และกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 469,000 ล้านบาท
อย่ารีบเร่งจนเปิดช่องทุจริต
ด้านนายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าการที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 มีผลบังคับใช้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ขอให้ใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ต้องรีบเร่ง หรือทำแบบลวก ๆ เพราะเห็นว่าเวลาเหลือน้อย
“ผมคิดว่างบที่ออกมาช้าก็ไม่ได้เป็นเหตุให้มีการใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง ต้องมีความรอบคอบในการจัดซื้อ จัดจ้าง แบบ ราคากลาง ต้องพร้อมและประมูลอย่างโปร่งใส ประหยัด แข่งขันอย่างเป็นธรรม งบไม่บาน มีเหตุมีผล ตรวจสอบได้อย่าอาศัยความเร่งรีบมาเป็นตรรกะในการจ่ายงบประมาณทำให้เกิดการทุจริต แต่อะไรที่เร่งได้ก็รีบดำเนินการ ”