อยู่ให้เป็นต้องเห็นแก่ตัว!

11 มิ.ย. 2564 | 22:10 น.

อยู่ให้เป็นต้องเห็นแก่ตัว! : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง หนังสือพมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3687 หน้า 6  โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล

คะเนว่าเมื่อ 50 ปีก่อน มีสาวชาวใต้หวันคนหนึ่งชื่อ Chi Cheng สื่อต่างประเทศตั้งฉายาเธอซะ ปั๊วะ เป๊ะ ปัง ว่า ละมั่งบินถิ่นตะวันออก! เธอได้รับรางวัล Asian Iron Woman ในห้วงเวลาที่ว่าไว้ เธอได้เข้าร่วมแข่งกีฬาโอลิมปิคแมทซ์ชิงวิ่ง 100 เมตร เรียกเสียงซี้ดซ้าดฮือฮาขึ้นหน้าหนึ่งซึ้งไม่เศร้า แต่ก็เล่นเอาหยดกันไปหลายล้านแหมะ เรื่องของเรื่องที่คนทั้งโลกควรจะหวนกลับมาอ่านให้รู้เรื่องซะดีๆ ก็มีอยู่ว่า

Chi Cheng เธอเข้าร่วมแข่งขันหลายรายการ แพทย์ประจำสนามตรวจดูอาการแล้วแนะเธอว่า“ฉันว่าเธอไม่ควรเข้าร่วมแข่งขัน อาการกล้ามเนื้อขาบวมช้ำเยอะขนาดนี้ ถ้าฝืนวิ่งจนกล้ามเนื้อมันเกร็งอาจจะปริฉีก เอ็นขาจะอักเสบมีปัญหาได้” Chi Cheng ตัวเต็งเหรียญทอง 100 เมตร โอลิมปิค เธอก็ยิ้มแก้มปริแก้เคล็ด เผื่อว่ายิ้มแก้มปริแล้วกล้ามเนื้อต้นขาคงจะไม่ปริอ้าตามปากหมอ

หลังจากเสียงปืนดัง ปัง! เธอวิ่งสุดฤทธิ์สุดเดช เธอสารภาพหลังจากเกมจบลงว่า วิ่งไปได้สัก 60 เมตรรู้สึกเสียวแปล๊บเหมือนโดนกรีด เหลือบตาดูหนึ่งแว่บก็เห็นเลือดไหลตรงต้นขา แต่ยังกัดฟันวิ่งจนพุ่งเข้าเส้นชัย คนใต้หวันทั้งโบกทั้งโยนธงชาติกันตรึม เมื่อรู้ตัวว่าชนะก็ทิ้งตัวล้มลง นักข่าววิ่งกรูแย่งกันเข้าไปตีวงล้อมกระชับจนแทบไม่เหลือพื้นที่แล้วก็เอาไมค์ยื่นไปทิ่มปากถามเธอว่า

 “คุณก็รู้ว่าอาการหนัก ทำไมคุณถึงยังฝืนวิ่ง?”

 Chi Cheng ตอบแบบ คม ชัด ลึก ตรงไปตรงมา คงไม่ต้องถามหาเอาพจนานุกรมมาแปลว่า

“คนหวังกับฉันเอาไว้มาก ไม่อยากให้ใครผิดหวัง ถ้าล้มก่อนถึงเส้นชัย ฉันก็ไปนอนที่ รพ. ธรรมดาๆ ค่าใช้จ่ายฉันจ่ายเอง ถ้าฉันวิ่งเข้าเส้นชัยแล้วค่อยล้ม ฉันได้นอนโรงพยาบาลดีๆ รัฐก็ดูแล ฉันควรวิ่งไหมล่ะ”

อ้าปากเห็นไส้ติ่งจริงใจแบบนี้รู้เลยใช่ไหมว่า Chi Cheng ลงไปวิ่งทวงความเฮงเพื่อใคร?

เคยโดนลูกศิษย์สาวผู้เข้าฟังการบรรยายเข้ามาปล่อยของใส่ผมช่วงคอฟฟี่เบรคเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า 

“อาจารย์รู้ไหมคะว่า ที่อาจารย์มาสอนพวกหนู อาจารย์ทำไปก็เพราะเห็นแก่ตัว อาจารย์บรรยายได้ตังค์จากพวกเราแล้วเอาตังค์ไปกินข้าวดูหนังไงคะ ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเองแล้วอาจารย์ไปทำเพื่อใคร จริงไหมล่ะคะ?”

“มนุษย์วิทยากร” มักจะได้เจอ กูรูนอกระบบ แบบนี้บ่อย มีอยู่คราวหนึ่ง ผมนั่งเมาท์อยู่กับผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยกัน จึงถือโอกาสระบายซะหน่อยว่า ผมพยายามทำตัวเป็น พลเมือง ด้วยการ บรรยายถวายความรู้พระโดยไม่คิดตังค์มา 29 ปี ผู้ใหญ่ท่านแซวทันทีว่า คุณเพิ่งเดินสู่เส้นทาง พลเมือง แค่ สอง-ก้าว เอง [ฮา]

นับจากวันนั้น ผมเริ่มเอาแง่คิดของ กูรูนอกระบบ ไปถามทดสอบทัศนะพระในห้องบรรยายดูบ้างว่า ผม“พระคุณเจ้าขอรับ ท่านบวชเพื่อใคร”

พระ    “บวชเพื่อพระพุทธเจ้า!”

ผม     “อะไรคือมูลเหตุแรกสุดที่มีส่วนจูงใจทำให้ท่านตัดสินใจบวช?”

พระ    “โยมพ่อเสีย โยมแม่จึงขอให้อาตมาบวชอุทิศให้กับโยมพ่อ!”

ผม    “ถ้าวันนั้นท่านปฏิเสธโยมแม่ โยมแม่จะเป็นอย่างไร?”

พระ    “โยมแม่คงไม่ชอบใจ!”

ผม    “ถ้าโยมแม่ไม่ชอบใจ ท่านจะรู้สึกอย่างไร?”

พระ    “ใจคงจะไม่สงบ!”

ผม    “เพื่อให้ใจสงบ ท่านจึงบวชอุทิศให้โยมพ่อตามที่โยมแม่ขอ?”

พระ    “เจริญพร!”

ผม    “สรุปว่า ท่านบวชเพื่อใคร?”

พระ    “บวชเพื่อพระพุทธเจ้า!”

ผมกับพระทั้งห้องฮากันตรึม ครื้นเครงกันดีแล้ว ผมก็เล่า Chi Cheng ถวายคติให้พระท่านได้ใคร่ครวญว่า Chi Cheng วิ่งเพื่อเธอเองแต่ชาติก็พลอยได้หน้า ฉันใด ถ้า Chi Cheng จะวิ่งเพื่อชาติ เธอก็ได้ผลตอบแทนสมใจ ฉันนั้น ถ้าเราจะ เห็นแก่ตัว ให้เท่ ควรเทดีให้เขา เขาจะได้ไม่ขัดขาเรา!