OSP ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ไม่กระทบการดำเนินงาน

31 มี.ค. 2564 | 05:40 น.

โบรกมอง OSP ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นไม่กระทบผลการดำเนินงาน ชี้หมดกังวลผู้ถือหุ้นใหญ่ขาย หลังนิติเข้าซื้อเรียกความเชื่อมั่น

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า จากกรณีที่บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (OSP) มีรายการ Big Lot จำนวน 763 ล้านหุ้น หรือ 25.39% ของทุนจดทะเบียน ที่ราคา 33 บาทต่อหุ้น มาจากผู้ถือหุ้นกลุ่ม Orizon (ครอบครัวโอสถานุเคราะห์) และนายเพชร โอสถานุเคราะห์ ได้ขายหุ้นสามัญจำนวน 381 ล้านหุ้น หรือ 12.7% ของทุนจดทะเบียน ให้แก่นายนิติ โอสถานุเคราะห์ 215 ล้านหุ้น หรือ 7.2% และกลุ่มนักลงทุนอื่น 166 ล้านหุ้น หรือ 5.5% ของทุนจดทะเบียน ส่งผลให้นายนิติ มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 23.8% จาก 16.65% และกลุ่ม Orizon ถือหุ้นเป็น 15.06% จาก 27.75% 

อย่างไรก็ตาม มองว่าในการปรับโครงสร้างการถือหุ้นครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด โดยเป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในครอบครัว และหุ้นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ยังคงเป็นนายนิติ โอสถานุเคราะห์ และอันดับ 2 ยังคงเป็นกลุ่ม Orizon 

นอกจากนี้ แนวโน้มผลประกอบการของ OSP  คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้เฉลี่ยปีละ 6% (2564-2565) จากการขยายกำลังการผลิต C-Vitt  และมาร์จิ้นที่คาดจะดีขึ้นหลังโรงงานเมียนมาเริ่มดำเนินงาน ทั้งนี้ จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เมียนมาปัจจุบันยังคงรุนแรง โดย OSP มีสัดส่วนรายได้จากเมียนมาประมาณ8% ของรายได้รวม ซึ่งจากสมมติฐาน หากยอดขายลดลงทุกๆ 10% จะส่งผลให้ eps ลดลง 0.8% สมมติฐานรายได้เมียนมาร์ลดลง 50% และ 100% จะส่งผลต่อ eps มาอยู่ที่ 1.19 และ 1.14 ตามลำดับ หรือราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 36.9 บาท และ 35.3 บาท ตามลำดับ ยังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 39 บาทอ้างอิงวิธี PER+1STDV ที่ 31x (ราคาเป้าหมายยังไม่รวมผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองที่ประเทศเมียนมา)

ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน จำกัด ระบุว่า มีมุมมอง Slightly positive sentiment ต่อการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของนายนิติ เนื่องจากความกังวลที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะขายหุ้นหายไป และผู้เข้ามาซื้อคือนายนิติ ซึ่งเป็นคนในตระกูลโอสถานุเคราะห์ และเป็นนักลงทุนรายใหญ่ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในกิจการของ OSP ทั้งนี้ ทางด้านปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องยังคงโครงการการบริหารและนโยบายในการดำเนินธุรกิจเช่นเดิม

สำหรับราคาหุ้น OSP ปิดภาคเช้าที่ 36.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.86% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 36.50 บาทและต่ำสุดอยู่ที่ 35.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,211.81 ล้านบาท