'Orizon-เพชร โอสถานุเคราะห์’ ขายบิ๊กล็อต OSP รวม 1.2 หมื่นล้านบาท

30 มี.ค. 2564 | 14:40 น.

OSP ชี้แจงบิ๊กล็อต เผย 'Orizon-เพชร โอสถานุเคราะห์’ ขายบิ๊กล็อต รวม 12,000 ล้าน ด้านนิติ โอสถานุเคราะห์เก็บเข้าพอร์ตเพิ่มเป็น 23.80% บริษัทแจงหวังนำเงินทุ่มโครงการศิลปะวัฒนธรรม และการศึกษา

นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (OSP)​ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่ตลท.ขอให้บริษัทชี้แจงข้อมูลกรณีที่มีการซื้อขายบิ๊กล็อต จำนวน 762,718,000 หุ้น คิดเป็น 25.39% นั้น บริษัทได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นใหญ่ว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 คนในกลุ่ม Orizon คือ 1. Orizon Limited และ 2. นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ได้เข้าทํารายการจําหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทที่ถืออยู่โดยรวมจํานวน 381,359,000 หุ้น คิดเป็น 12.69% ให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะเจาะจง (Private Placement) โดยได้ทําการซื้อขายผ่านตลท. เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 

อย่างไรก็ตาม Orizon Limited จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 261,060,475 หุ้น คิดเป็น 8.69% และนายเพชรโอสถานุเคราะห์ จําหน่ายหุ้นสามัญ จํานวน 120,298,525 หุ้น คิดเป็น 4.00% นอกจากนี้ ได้รับแจ้งจากนายนิติ โอสถานุเคราะห์ ว่าได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ เพิ่มเติมเป็นจํานวน 215,000,000 หุ้น คิดเป็น  7.16% ขณะที่ นักลงทุนรายอื่น ๆ ได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทเป็นจํานวน 166,359,000 หุ้น คิดเป็น 5.53% 

สำหรับกลุ่ม Orizon เป็นกลุ่มบุคคลที่กระทำการร่วมกัน หรือ Acting in Concert ประกอบด้วยผู้ถือหุ้น 7 คน ได้แก่ 1. Orizon Limited 2. รัตน์ โอสถานุเคราะห์ 3. เพชร โอสถานุเคราะห์ 4. ภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์5. ภูรี โอสถานุเคราะห์ 6. คฑา โอสถานุเคราะห์​ และ 7. นาฑี โอสถานุเคราะห์

ทั้งนี้ ภายหลังการทำรายการดังกล่าว ทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทเปลี่ยนแปลงไป โดยกลุ่ม Orizon ถือหุ้นลดลงเหลือ 452,336,700 หุ้น หรือ 15.06% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 833,695,700 หุ้น หรือ27.75% ส่วน นิติ โอสถานุเคราะห์ มีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 715,030,000 หุ้น หรือ 23.80% จากเดิมถือหุ้น 500,030,000 หุ้น หรือ 16.65%

ขณะเดียวกัน OSP ได้ชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ เนื่องจากบริษัทมีความสนใจที่จะอุทิศทรัพยากรของตนไปใช้ในโครงการอื่นๆ ซึ่งมุ่งหมายไปที่โครงการด้านศิลปะวัฒนธรรมและการศึกษาให้มากขึ้น  เพื่อจะได้ช่วยวางรากฐานของวงการศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษาของประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า จึงมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการสนับสนุน ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างการจัดการ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด บริษัทยังคงดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อขยายธุรกิจให้แข็งแกร่งและมั่นคงในประเทศไทยและในภูมิภาค สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป