วันนี้(24 ก.ย.63) พล.ต.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ และผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประมวลและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผู้นำจีนกล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการอภิปรายทั่วไปของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ ๗๕ เมื่อวันที่ ๒๒ ก.ย.๖๓ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๒๒ ก.ย.๖๓ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์สำคัญในการอภิปรายทั่วไปของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ ๗๕ โดยชี้ให้เห็นว่าในการเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ทุกประเทศควรปฏิบัติตามแนวคิดของประชาชนเป็นอันดับแรก รวมทั้งเสริมสร้างความสามัคคีตลอดจนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมกันในเรือลำเดียวกัน
ต้องสร้างความรู้สึกของชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันและแนวคิดของความร่วมมือแบบ win-win เคารพซึ่งกันและกันสำหรับเส้นทางการพัฒนาและรูปแบบที่เลือกโดยประเทศต่างๆ โดยอิสระ สนับสนุนแนวคิดเรื่องการเปิดกว้างและความอดทนสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้างอย่างไม่หยุดยั้ง และสร้างแนวคิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่การประสานความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมการเปิดกว้างและการแบ่งปัน เพื่อส่งเสริม "การฟื้นตัวสีเขียว" เศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาด ยึดมั่นในวิถีของพหุภาคี และรักษาระบบระหว่างประเทศโดยมีสหประชาชาติเป็นแกนกลาง
จีนยึดมั่นในเส้นทางแห่งการพัฒนาอย่างสันติ การพัฒนาแบบเปิดการพัฒนาแบบร่วมมือและการพัฒนาร่วมกันและจะยังคงเป็นผู้สร้างสันติภาพของโลกผู้มีส่วนสนับสนุนการพัฒนาระดับโลกและผู้พิทักษ์ระเบียบระหว่างประเทศ
๒. ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์การพัฒนาสังคมของมนุษย์เป็นประวัติศาสตร์ของการเอาชนะความท้าทายและความยากลำบากต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และการระบาดของโรคโควิด-๑๙ จะไม่ใช่วิกฤตครั้งสุดท้ายที่มนุษยชาติต้องเผชิญ จึงต้องเตรียมพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลกมากขึ้น กล่าวคือ
๒.๑ การแพร่ระบาดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านทั่วโลกที่เชื่อมโยงและแบ่งปันกัน ประเทศต่างๆมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดและมนุษยชาติมีชะตากรรมร่วมกัน ไม่มีประเทศใดได้กำไรจากความยากลำบากของประเทศอื่นและได้รับความมั่นคงจากความปั่นป่วนของประเทศอื่น
๒.๒ โรคระบาดนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจว่า เมื่อเผชิญกับกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ต้องรักษาแนวความคิดของการเปิดกว้างและการรวมเข้าด้วยกันสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้างอย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งรักษาระบบการค้าพหุภาคีบนพื้นฐานขององค์การการค้าโลก และการปกป้องรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั่วโลก
๒.๓ โรคระบาดนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจว่า มนุษยชาติต้องปฏิวัติตนเองเพื่อเร่งวิธีการพัฒนาสีเขียวและการสร้างอารยธรรมทางนิเวศวิทยา โดยจีนจะเพิ่มการมีส่วนร่วมในการใช้นโยบายและมาตรการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มุ่งมั่นที่จะบรรลุจุดสูงสุดของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี ๒๐๓๐ (พ.ศ.๒๕๗๓) และมุ่งมั่นที่จะบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอนภายในปี ๒๐๖๐ (พ.ศ.๒๖๐๓) ซึ่งประเทศต่างๆ ควรกำหนดแนวคิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ การประสานงานความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเปิดกว้างและการแบ่งปัน รวมทั้งการปฏิวัติเทคโนโลยีรอบใหม่และการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรม โดยส่งเสริม "การฟื้นตัวสีเขียว" ของเศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาดและการรวมพลังเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
๒.๔ การแพร่ระบาดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ระบบการปกครองทั่วโลกต้องปฏิรูปและปรับปรุง ต้องยึดมั่นในวิถีแห่งพหุภาคีและปกป้องระบบระหว่างประเทศโดยมีสหประชาชาติเป็นแกนกลาง
๓. ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำว่า
๓.๑ ตั้งแต่ต้นปีนี้ชาวจีน ๑,๔๐๐ ล้านคนไม่กลัวความยากลำบาก และได้ทำงานร่วมกันเพื่อเอาชนะผลกระทบจากการแพร่ระบาดและเร่งฟื้นฟูการผลิตและความเป็นอยู่ที่ดี และมั่นใจว่าจะสร้างสังคมที่เจริญรุ่งเรืองในระดับปานกลางอย่างรอบด้านตามที่กำหนดไว้ บรรลุผลให้คนยากจนในชนบททั้งหมดหลุดพ้นจากความยากจนภายใต้มาตรฐานปัจจุบันและบรรลุเป้าหมายการลดความยากจนของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ๒๐๓๐ ก่อนกำหนด ๑๐ ปี
๓.๒ จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังดำเนินตามแนวทางของการพัฒนาอย่างสันติ การพัฒนาแบบเปิดการพัฒนาแบบร่วมมือและการพัฒนาร่วมกัน จีนจะไม่แสวงหาความเป็นเจ้าโลก การขยายตัวหรือขอบเขตของอิทธิพลโดยไม่มีเจตนาที่จะทำสงครามเย็นกับประเทศใด ๆ
โดยยืนยันที่จะเชื่อมความแตกต่างผ่านการเจรจา และการแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจา และจะไม่ปิดประตูเพื่อดำเนินการในลักษณะปิด โดยจะค่อยๆสร้างรูปแบบการพัฒนาใหม่โดยมีวัฏจักรภายในประเทศเป็นตัวหลัก และวัฏจักรคู่ในประเทศและระหว่างประเทศที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เปิดพื้นที่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน เพิ่มแรงผลักดันในการฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จีนจะยังคงเป็นผู้สร้างสันติภาพของโลกผู้สนับสนุนการพัฒนาของโลกและเป็นผู้พิทักษ์ระเบียบระหว่างประเทศ
บทสรุป ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศสนับสนุนบทบาทความเป็นกลางของสหประชาชาติในกิจการระหว่างประเทศ โดยจีนจะให้เงินสนับสนุนอีก ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับแผนงานด้านมนุษยธรรมระดับโลกของสหประชาชาติ
รวมทั้งจีนจะจัดตั้งศูนย์ความรู้และนวัตกรรมสารสนเทศภูมิศาสตร์โลกแห่งสหประชาชาติ และศูนย์วิจัยระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ส่งเสริมการสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติและร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับโลก