“วิระชัย”ฟ้อง“บิ๊กแป๊ะ”ปฏิบัติหน้าที่มิชอบทำชวดนั่งผบ.ตร.

24 ส.ค. 2563 | 13:07 น.

“พล.ต.อ.วิระชัย”ฟ้อง“บิ๊กแป๊”ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ-กลั่นแกล้งให้ถูกสำรองราชการ เสียสิทธิ์นั่งผบ.ตร. ศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ 8 ก.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อายุ 57 ปี รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อายุ 60 ปี ผบ.ตร. เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

 

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า โจทก์รับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2523 ปัจจุบันเป็น รอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับที่ 1 ส่วน พล.ต.อ.จักรทิพย์ จำเลย เป็น ผบ.ตร. มีอำนาจหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายภายใต้อำนาจหน้าที่ที่ตนมี แต่จำเลยกลับใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กลั่นแกล้งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

 

โดยเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2563 เวลากลางคืน เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีต ผบช.สตม. ย่านบางรัก ถือเป็นคดีสำคัญเพราะเป็นการกระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม และผู้เสียหายเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเป็นที่สนใจของประชาชนและสื่อมวลชน เนื่องจากในขณะเกิดเหตุดังกล่าว จำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักร โจทก์ในขณะนั้นรักษาราชการแทนจำเลยในตำแหน่ง ผบ.ตร. มีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักรและมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนตามกฎหมาย ดังนั้น โจทก์จึงเข้าไปควบคุม กำกับ และเร่งรัดการสืบสวนเพื่อจับกุมคนร้ายได้โดยเร็ว

 

นอกจากนี้ขณะที่จำเลยอยู่ในต่างประเทศก็ได้โทรศัพท์ติดต่อมายังโจทก์ เมื่อเวลา 21.30 น ซึ่งโจทก์เข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทีกรายละเอียดในการสนทนา เพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วน จึงต้องใช้การบันทึกเสียงแทนการจดบันทึกการสนทนา เพราะเห็นว่า กรณีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะได้นำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานต่อไป

 

จากบทสนทนาดังกล่าว เห็นได้ว่า จำเลยได้พูดระบายความรู้สึกในใจของจำเลยที่มีต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และตำหนิการกระทำของโจทก์ที่เข้าไปควบคุมคดีนี้ การสนทนาดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการ เพราะขณะนั้นจำเลยอยู่ต่างประเทศ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายสั่งการโจทก์ได้และบทสนทนาดังกล่าวไมใช่ความลับทางราชการ เพราะความลับทางราชการตามกฎหมาย คือข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยและอยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐ และมีการกำหนดชั้นของความลับไว้เป็นลำดับ

 

หากพิจารณาบทสนทนาแล้วไม่ได้มีการระบุหรือสั่งการอย่างใดว่า เป็นความลับทางราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ.2544 ข้อ 5 ที่ได้กำหนดนิยามของคำว่า "ข้อมูลข่าวสารลับ"ไว้ดังกล่าว

 

ช่วงเช้าวันต่อมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ติดตามสอบถามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว โจทก์จึงแจ้งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ทราบว่า คดีดังกล่าว จำเลยได้ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดและตำหนิไม่ให้โจทก์เข้าไปควบคุมดูแลคดีนี้อีก และโจทก์ได้ส่งมอบคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีโดยตรง เพื่อให้ไปติดตามผลการสอบสวนได้อย่างถูกต้องและเพื่อประโยชน์ของการสืบสวนสอบสวน โจทก์ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการ เพราะคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไม่เป็นความลับราชการและไม่ทำให้ผู้รับฟังเกลียดชังจำเลยหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด

 

ในทางตรงกันข้ามกลับจะเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อจำเลย เพราะการพูดของจำเลยในคลิปสนทนาเป็นการยกย่องและเชื่อมั่นการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาที่พูดในทำนองว่า นครบาลมีความสามารถทำคดีนี้ได้อยู่แล้วและผู้ที่ได้รับความอับอายในคลิปเสียง คือโจทก์ไม่ใช่จำเลย และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในกรณีคลิปสนทนานี้ถูกเผยแพร่คือโจทก์ไม่ใช่จำเลย อีกทั้งโจทก์ไม่เคยเผยแพร่คลิปสนทนาดังกล่าวไปยังบุคคลอื่น

 

ต่อมามีผู้ไม่หวังดีนำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชน ทำให้จำเลยไม่พอใจโจทก์เป็นอย่างมาก ประกอบกับเป็นช่วงเวลาระยะเวลาที่จะมีการแต่งตั้งผบ.ตร.แทนจำเลยที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนก.ย. ที่โจทก์เป็นผู้มีสิทธิได้รับการแต่งตั้ง เพราะโจทก์มีอาวุโสเป็นอันดับ 1 และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้ง โดยจำเลยไม่ต้องการให้โจทก์ได้รับการแต่งตั้ง จึงได้ดำเนินการออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมายหลายประการ เพื่อให้โจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผบ.ตร. เพื่อให้รองผบ.ตร.ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของจำเลยได้รับการแต่งตั้งแทนโจทก์ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต โดยอาศัยโอกาสที่ตนเองมีหน้าที่กระทำการที่อาจผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ

 

เมื่อวันที่ 21 ม.ค 2563 จำเลยในฐานะผบ.ตร.ได้มีคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 24/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับคลิปโทรศัพท์สั่งการคดียิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์และเนื้อหาการพูดคุยระหว่างจำเลยกับโจทก์ โดยคำสั่งอ้างว่า เป็นความลับทางราชการ การลักลอบบันทึกและนำมาเผยแพร่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อพนักงานสอบสวน

 

 

ระหว่างวันที่ 21-23 ม.ค.2563 เวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้โจทก์ต้องไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 22/2563 ลงวันที่ 23 ม.ค.2563 ทำให้โจทก์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรองผบ.ตร.ได้

 

ต่อมาระหว่างวันที่ 1-24 ก.ค.2563 เวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินคดีกับโจทก์ในฐานความผิดตามพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 มาตรา 74 และวันที่ 24 ก.ค.ต่อเนื่องกัน จำเลยได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 383/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงโจทก์

 

โดยในคำสั่งดังกล่าวได้หยิบยกเอาข้อสรุปของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 24/2563 มีข้อสรุปว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรง การออกคำสั่งดังกล่าวของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจตนาให้โจทก์ต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง เพื่อใช้เป็นเหตุให้จำเลยสามารถออกคำสั่งสำรองราชการโจทก์ และทำให้โจทก์หมดสิทธิเข้ารับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

 

กระทั่งวันที่ 29 ก.ค.2563 จำเลยได้ออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 387/2563 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจสำรองราชการ โดยมีคำสั่งให้โจทก์สำรองราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

การกระทำของจำเลยจึงเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 เหตุเกิดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขตปทุมวัน กทม.

 

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อตรวจคำฟ้องและนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ วันที่ 8 ก.ย.นี้ เวลา 09.30 น.