ทีเอ็มบีแนะ โยกเงินไปออมทรัพย์พิเศษ สร้างรายได้เพิ่ม 5 เท่า

02 ส.ค. 2563 | 07:11 น.

ทีเอ็มบีชี้ พิษโควิดกดดอกเบี้ยต่ำ ทำผู้ออมรายย่อยรายได้หด แนะโยกเงินไปบัญชีดอกเบี้ยพิเศษ สร้างรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 5 เท่า หรือช่องทางออมอื่น กระจายเสี่ยง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics  ระบุว่า ยอด เงินฝากบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ช่วง 5 เดือนแรกปี 2563 เพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาท จากความกังวลใน สถานการณ์โควิด ของผู้ออมรายย่อย ส่งผลให้เงินฝาก บัญชีออมทรัพย์ เพิ่มขึ้นถึง 16% ยอดอยู่ที่ 5.1 ล้านล้านบาท ทำให้สัดส่วนออมทรัพย์ขยับสูงขึ้นเป็น 63% ทั้งที่ อัตราดอกเบี้ยต่ำแค่ 0.25% และยังมีแนวโน้มลดลงได้อีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่งผลกระทบต่อรายได้ผู้ออมมากขึ้น 

 

"หากผู้ออมรายย่อยโยกเงินจากบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปไป บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ คาดว่า จะทำให้รายได้ของผู้ฝากเงินออมทรัพย์รายย่อยทั้งระบบจะเพิ่มขึ้นจาก 12.7 พันล้านบาท เป็น 66.2 พันล้านบาทภายในเวลา 1 ปี "

 

แม้ปัจจุบันการออมเงินมีให้เลือกหลายรูปแบบ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ยังคงมีบทบาทสูง โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยง ดังเช่นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19  ที่กดดันเศรษฐกิจทั่วโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอยจนถึงขณะนี้ เงินฝากมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราเร่ง

 

โดยเฉพาะเงินฝากบุคคลธรรมดาเพิ่มจาก 7.5 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 เป็น 8.1 ล้านล้านบาท ณ พฤษภาคม 2563 หรือเพิ่มขึ้นถึง 8.5% เมื่อเทียบกับช่วงปี  2560-2562 ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 % ต่อปี ซึ่งสวนทางกับ อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ที่ปรับลดลง ทั้งนี้ เงินฝากออมทรัพย์เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง 16% จากสิ้นปี 2562 ทำให้สัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ขยับขึ้นจาก 59% เป็น 63% (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย ณ มิถุนายน 0.25%) ขณะที่เงินฝากประจำมีสัดส่วนลดลงเหลือ 36% (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย ณ มิถุนายน 0.44%)

ทีเอ็มบีแนะ โยกเงินไปออมทรัพย์พิเศษ สร้างรายได้เพิ่ม 5 เท่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วายุภักษ์อ่วมมูลค่าวูบ 6.97 หมื่นล้าน

กบข.เปิดตัวแผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย เพิ่มทางเลือกลงทุนให้สมาชิก

อย่างไรก็ตาม คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะคง อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ 0.5% ในช่วงที่เหลือของปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารขนาดใหญ่ลดลงเหลือ 0.25% โดยยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมได้อีกในอนาคต หากมีปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด ไม่ว่า จะมีสาเหตุจากการระบาดของโควิดรอบสอง หรือเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าคาด

 

ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มปรับลดลงได้อีก แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ 0.5% ก็ตาม จากแรงกดดันสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง (สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 108.64%) ตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในอัตราเร่ง ขณะที่ปริมาณสินเชื่อชะลอลง

 

ทีเอ็มบีแนะ โยกเงินไปออมทรัพย์พิเศษ สร้างรายได้เพิ่ม 5 เท่า

 

ทั้งนี้ การเลือกออมโดยฝากเงินกับธนาคารยังตอบโจทย์ผู้ออมได้ดี หากผู้ออมให้น้ำหนักเรื่องสภาพคล่องและรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำหรือรู้สึกอุ่นใจที่เก็บเงินสดไว้ รวมทั้งมีความมั่นใจจากการได้รับความคุ้มครองเงินฝากในวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ณ มิถุนายน เฉลี่ยที่ 0.25% เงินฝากประจำ 1 ปี เฉลี่ยที่ 0.48% ซึ่งบางธนาคารยังมีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษดอกเบี้ยสูง เช่น ดอกเบี้ยสูงกว่าออมทรัพย์ทั่วไปถึง 5 เท่า คืออยู่ระดับราว 1.3% แต่เงินฝากกลุ่มนี้มักมีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ต้องมียอดเงินฝากคงค้างตามที่กำหนด หรือต้องมีผลิตภัณฑ์อื่นของธนาคารร่วมด้วย

ทั้งนี้ จากฐานผู้ฝากเงินรายย่อยทั้งหมด 95.8 ล้านบัญชี เป็นออมทรัพย์ 86.1 ล้านบัญชี คิดเป็น 90% หากผู้ออมโยกเงินฝากจากออมทรัพย์ที่รับดอกเบี้ยแค่ 0.25% ไปยังบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ ที่ให้ดอกเบี้ยราว 1.3% พบว่า รายได้ดอกเบี้ยของผู้ฝากเงินออมทรัพย์ทั้งระบบจะเพิ่มขึ้นจาก 12.7 พันล้านบาท เป็น 66.2 พันล้านบาทภายใน 1 ปี

 

ส่วนผู้ออมที่อยากจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ของภาครัฐที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ที่ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกันเงินฝาก โดยพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี อยู่ที่ 0.5% และพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี อยู่ที่ 0.87% นับเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ออมที่เน้นสภาพคล่องสูงและระดับความเสี่ยงต่ำที่ใกล้เคียงกับกลุ่มเงินฝาก

 

ทีเอ็มบีแนะ โยกเงินไปออมทรัพย์พิเศษ สร้างรายได้เพิ่ม 5 เท่า

 

นอกจากนั้น หากผู้ออมต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และสามารถรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งเป็นนักลงทุนรายย่อยไม่สามารถลงทุนได้เองหรือขาดความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ผู้ออมอาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท ซึ่งสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนเมื่อพิจารณาจากมูลค่าทรัพย์สิน ณ มิถุนายน 2563 หลักๆ เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ 39% กองทุนรวมตราสารทุนอยู่ที่ 29% และกองทุนรวมตลาดเงิน 20%

 

เมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนกองทุนรวมในระยะ 6 เดือนและ 1 ปีที่ผ่านมา พบว่า กองทุนรวมตลาดเงินให้อัตราผลตอบแทนที่ 0.31-0.94% เช่นเดียวกับกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะกลางมีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 0.5-0.74% ซึ่งต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษที่ 1.3%

 

“สำหรับกองทุนรวมที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ การพิจารณาลงทุนในสถานการณ์ที่ยังมีความเสี่ยงจากทิศทางการฟื้นตัวที่เปราะบางของทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ถือเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับผู้ลงทุนอย่างมาก รวมทั้ง การลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ แม้ว่ามีแนวโน้มที่จะให้อัตราผลตอบแทนสูงต่อเนื่องในฐานะที่เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีความปลอดภัยสูง (Safe-Haven) ในสายตานักลงทุน แต่ก็มีความผันผวนสูง”

 

ดังนั้น ในภาวะที่รายได้ผู้ออมรายย่อยถูกสั่นคลอนจากการทรุดตัวของเศรษฐกิจในปัจจุบัน การพิจารณาฝากเงินโดยเลือกบัญชีที่อัตราดอกเบี้ยสูงภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ออมยอมรับได้ รวมทั้งพิจารณาทางเลือกในการลงทุนอื่นๆ ที่อาจให้อัตราผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป็นแนวทางที่ช่วยพยุงรายได้ตอบโจทย์ของผู้ออมหรือผู้ลงทุนในช่วงที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ

ที่มา: TMB Analytics