ศธ.รับมือเปิดเทอมภายใต้สถานการณ์ โควิด-19

22 มิ.ย. 2563 | 10:24 น.

ศธ. พร้อมรับมือ แจงยิบ แผนเปิดเทอม ร่วมมือกับ กระทรวงสาธารณสุข ออกคู่มือการปฏิบัติสำหรับสถานศึกษาในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ในวันที่ 1 ก.ค. 2563 นี้เป็นวันเปิดภาคเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับมาตรการรองรับสถานการณ์โควิดในสถานศึกษา วันนี้ (22 มิถุนายน 2563) นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงความพร้อมของกระทรวงศึกษาธิการในการเปิดภาคเรียน ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ตามแนวทาง “โรงเรียนสุขภาพดี นักเรียนมีความสุข (Back to Healthy School)” ยืนยันว่า สถานศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศที่จะเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นี้ โดยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเพื่อให้การเรียนของนักเรียน ได้รับทั้งความรู้ และความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

หลักการ คือ ได้เลื่อนเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1/2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม – 14 พฤศจิกายน 2563 และภาคเรียนที่ 2/2563 เป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 10 เมษายน 2564 ซึ่งมีเวลาเรียน 180 วัน โดยจะมีการชดเชยให้ครบ 200 วัน ด้วยวิธีการต่างๆตามที่โรงเรียนมีอิสระกำหนดได้เอง เช่น เรียนวันเสาร์ อาทิตย์ เรียนตอนเย็น หรือ เรียนออนไลน์ เป็นต้น

สำหรับมาตรการในการเปิดเรียนนั้น กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ออกคู่มือการปฏิบัติสำหรับสถานศึกษา ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แบ่งเป็น 6 มิติ

มิติที่ 1 ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อ มีจำนวน 20 ข้อ ในมิตินี้ สถานศึกษาทุกแห่งต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน 20 ข้อ ตามมาตรการที่กำหนดโดยกรมอนามัย ซึ่งสถานศึกษาทุกแห่งได้รับคู่มือนี้ไปแล้ว

ส่วนมิติที่เหลือ 24 ข้อนั้นเป็นมิติในการเรียนรู้ การครอบคลุมถึงเด็กด้อยโอกาส สวัสดิภาพและการคุ้มครอง นโยบาย และมิติการบริหารการเงิน เพื่อให้สถานศึกษาสามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการในการเปิดภาคเรียน โดยที่โรงเรียนทั้ง 100% จะต้องผ่านการประเมินนี้ก่อนที่จะทำการเปิดเรียน

ส่วนแนวปฏิบัติของสถานศึกษาระหว่างเปิดภาคเรียน จะมีการคัดกรองสุขภาพซึ่งโรงเรียนต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่จุดรับ-ส่งนักเรียนที่ต้องมีจุดคัดกรอง เพื่อจะได้ดูว่านักเรียนมีอาการป่วยหรือไม่  อีกทั้งต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา มีสถานที่ล้างมือหรือใช้แอลกอฮอล์เจล ลดการแออัด เว้นระยะห่างในห้องเรียน และทำความสะอาดสถานที่

ทั้งนี้ โรงเรียนทุกสังกัด ทุกระดับ จะต้องมีการปรับปรุงห้องเรียน ด้วยการจัดโต๊ะที่นั่งเรียน ให้เว้นระยะห่างกันไม่ต่ำกว่า 1.5 เมตร และต้องปรับปรุงพื้นที่อื่น ๆ ในโรงเรียน อาทิ โรงอาหารที่ต้องเว้นระยะห่างบุคคลไม่ต่ำกว่า 2 เมตร และต้องมีการทำความสะอาดบ่อยขึ้นและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องสุขาและจุดสัมผัสต่าง ๆ รวมถึงการงดทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความแออัดด้วย

การเปิดเทอมในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 สถานศึกษาทุกสังกัด ทั้งโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ และสถานศึกษาอาชีวศึกษา ที่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติได้ โดยไม่ต้องสลับวันมาเรียน มีจำนวน 31,000 โรงเรียน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง “เปิดภาคเรียน” โรงเรียนสังกัดเทศบาลนครภูเก็ต พร้อมรับมือ

ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติ หรือมาเรียนพร้อมกันได้ มีจำนวนทั้งสิ้น 4,500 โรงเรียน ก็ต้องสลับกันมาเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้จัดการเรียนการสอนสำหรับ 4,500 โรงเรียนดังกล่าวไว้แล้ว ทั้งออนแอร์และออนไลน์ที่บ้าน โดยให้โรงเรียนบริหารจัดการได้เองแบบผสมผสานหลายรูปแบบ อาทิ  การสลับวัน/เวลาเรียน เช่น สลับวันคี่คู่ สลับเช้าบ่าย สลับวันเว้นวัน หรือสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ฯลฯ

นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการยังดูแลการเดินทางมาโรงเรียนด้วย สำหรับรถโรงเรียนที่ ศธ.ดูแล หรือที่โรงเรียนเป็นเจ้าของ ต้องนั่งเว้นระยะห่าง และต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา สำหรับการนั่งเว้นระยะห่างในรถรับส่ง จากเดิมอาจจะใช้รถคันเดียว แต่เมื่อเว้นระยะห่าง อาจจะใช้งบประมาณเพิ่ม เพื่อเพิ่มเติมรถ 2 คัน กรณีนี้ ศธ.ก็จัดสรรงบประมาณให้ทางโรงเรียนจัดหารถโรงเรียนเพิ่มเติมแล้ว แต่หากสลับวันมาเรียน ใช้รถเท่าเดิม ก็อาจจะไม่ต้องใช้รถเพิ่มก็ได้

สำหรับเด็กเล็ก หลายฝ่ายมีความกังวลว่า ดูแลยากต้องฝากให้คุณครู และผู้ช่วยครูสอนเด็กปฐมวัย ได้ดูแลอย่างใกล้ชิด สำหรับการนอนของเด็กเล็กให้เว้นระยะห่างการนอน 1.5 เมตร และให้หันเท้าชนกัน เพื่อให้ศีรษะห่างกัน โดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยในการนอน

การรับประทานอาหารกลางวัน ให้ผลัดกันทานอาหาร อาจจะแบ่งเป็น 3-4 ผลัด ๆ ละ 30 นาที ก็ได้

ส่วนประเด็นที่ผู้ปกครองเป็นห่วงและสอบถามมาก คือ เรื่องการสอบของทุกระดับ ศธ.จะประกาศภายในสองสัปดาห์นี้ ว่าจะต้องสอบหรือไม่ ยกเว้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่จะต้องสอบแน่นอน ส่วนระดับชั้นอื่น ๆ ถ้าประกาศแล้วว่ามีการสอบ ศธ.ก็จะปรับตัวชี้วัดให้เข้ากับเกณฑ์ที่สามารถสอนได้ในปีการศึกษานี้ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้นักเรียนสามารถได้รับการวัดและประเมินผลการเรียนได้อย่างยุติธรรม

สำหรับกรณีที่เปิดเทอมแล้ว หากพบนักเรียนหรือครูอาจจะติดเชื้อโควิด-19 ศธ.ได้มีมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยต้องคัดแยกผู้มีอาการ และแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโดยทันที ในระหว่างรอผลตรวจโควิด-19 ยังมีการเรียนการสอนปกติ กรณีตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ก็สามารถกลับมาเรียนได้ตามปกติ แต่หากตรวจพบเชื้อโควิด-19 นักเรียนและผู้ใกล้ชิดต้องถูกกักตัว 14 วัน และโรงเรียนต้องปิด 3 วัน เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ

อ่านข่าวที่่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ "เรียนออนไลน์-เปิดเทอม" ก่อนถึงวันจริง 1ก.ค.

ทั้งนี้ หากโรงเรียนที่มีเด็กโตอาจจะต้องใช้แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หากเด็กเล็ก โรงเรียนจะต้องจดข้อมูลบันทึกเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานการตรวจสอบย้อนหลัง หากมีการพบผู้ติดเชื้อ กรณีโรงเรียนที่อยู่ชายขอบ ที่มีนักเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านข้ามเข้ามาเรียนไป-กลับทุกวัน ศธ.จะยังไม่อนุญาตให้ข้ามมาเรียน จนกว่าจะมีประกาศผ่อนปรนจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) หรือหากจะเข้ามาก็ต้องกักตัวใน State Quarantine 14 วัน ก่อนเรียน แต่เพื่อให้การเรียนการสอนเต็มรูปแบบ ศธ.ได้ประสานกับ ตม.ไว้แล้ว ให้ครูส่ง และเก็บใบงานทุกวันในกล่องแทนและใช้การเรียนการสอนผ่านทาง DLTV เช่นเดิม

“กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการเช่นนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นครู บุคลากรทางการศึกษา ที่ทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่เป็น Stakeholders ในการจัดการศึกษา ที่เข้ามาประชุมร่วมกันอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงาน และศูนย์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง” ที่ปรึกษา รมว.ศธ.ระบุ