สภาพัฒน์ นัดเอกชนถกมาตรการปรับตัว-ฟื้นฟูเศรษฐกิจ

20 เม.ย. 2563 | 05:56 น.

สภาพัฒน์ เชิญประชุมคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริสถานการณ์การถกแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2หาข้อเสนอแนะมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบ และมาตรการเพื่อการปรับตัวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกครั้งใน 5 กลุ่มสำคัญ หลังจากการหารือนัดแรก

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจ้งว่าได้เชิญหารือภาครัฐและเอกชนภายใต้คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาเกษตรกรแห่งชาติ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ 

ในการประชุมครั้งนี้คณะที่ปรึกษาฯ ได้เสนอข้อเสนอแนะและมาตรการตามมติที่ได้หารือในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563 โดยได้แบ่งข้อเสนอและมาตราการเป็นประเด็นเฉพาะด้าน 5 กลุ่มดังนี้ 

1.    ข้อเสนอมาตรการเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้แก่ (1) มาตรการด้านประกันสังคม/กองทุน/แรงงาน เช่น ลดเงินสมทบประกันสังคมนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ระยะเวลา 180 วัน (2) มาตรการด้านภาษี เช่น ให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน COVID-19 (3) มาตรการด้านสาธารณูปโภค/ที่ดิน เช่น ขอเลื่อนการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ ออกไป 4 เดือน (4) มาตรการด้านการเงิน เช่น สินเชื่อที่รัฐให้เพิ่มสภาพคล่อง ขอให้ บสย. ค้ำประกันวงเงินกู้เพิ่มเป็น 80% (5) มาตรการด้านอื่น ๆ เช่น  ให้รัฐจัดสรรงบประมาณในการจ้างงาน ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ (Made-in-Thailand) ซึ่งเอกชนต้องหารือในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทย

2.    ข้อเสนอมาตรการเพื่อการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ ได้แก่ (1) มาตรการในการปรับพฤติกรรมของประชาชน โดยมีการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติของประชาชนและสถานที่ให้บริการ (2) แนวทางพิจารณาการเปิดดำเนินการธุรกิจตามความเสี่ยงของสถานประกอบการและพื้นที่ที่มีความเสี่ยง อาทิ สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่ำอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำอาจพิจารณาเปิดให้บริการได้ตามมาตรการที่กำหนด ขณะที่สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง และอยู่ในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงจะไม่พิจารณาเปิดให้บริการ (3) กระบวนการอนุญาตและติดตาม อาทิ การลงทะเบียนสำหรับสถานประกอบการ การติดตามตรวจสอบโดยภาครัฐระดับท้องถิ่นและจังหวัด การรายงานของภาคประชาชนผ่านแอพลิเคชันไลน์ (4) การพิจารณาระยะเวลาดำเนินการ โดยเป็นการทดลองเปิดในจังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำและขยายผลไปสู่จังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางต่อไป (5) การสื่อสาร โดยภาครัฐจัดทำแผนการสื่อสารไปสู่ประชาชนและสถานประกอบการให้รับทราบถึงข้อปฏิบัติและแนวทางในการดำเนินการ (6) คณะทำงานร่วมในการดำเนินการ ประกอบด้วยภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคสังคมและวิชาการซึ่งเอกชนจะต้องไปหารือในรายละเอียดกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข

3.    ข้อเสนอมาตรการเพื่อการแก้ไขปัญหาด้วยดิจิทัล (Digital Solution) ได้แก่ (1) ควบคุม ป้องกัน และรักษา เช่น การจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (2) ความต่อเนื่องธุรกิจ เช่น แก้กฎหมายเพื่อรองรับการจัด E-Gov Digital ID (3) การจ้างงานและพัฒนาคน มาตรการสนับสนุนผู้จนการศึกษาใหม่ คนว่างงาน และรักษาการจ้างงานในปัจจุบัน (4) ความมั่นใจตลาดเงินและทุน เช่น การเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ และการช่วยเหลือ Digital Startup, SME (5) เศรษฐกิจใหม่ เช่น Smart farming และ E-commerce (6) โครงสร้างขันเคลื่อนยามวิกฤต เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการขับเคลื่อนพิเศษในสถานการณ์ฉุกเฉิน
4.    ข้อเสนอมาตรการเพื่อภาคเกษตร ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น ได้แก่ (1) การเยียวยาให้กับเกษตรกร ครัวเรือนละ 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน (2) การพักหนี้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการ ระยะเวลา 1 ปี (3) การปรับโครงสร้างหนี้และขยายเวลาชำระหนี้จากการเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร (4) การจัดให้มีช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ (5) การสนับสนุนและจัดระบบการขนส่งผลผลิตการเกษตร (6) การส่งออกผ่านพรหมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และ (7) การใช้ Big Data ในการติดตามสถานการณ์ภาคเกษตร มาตรการระยาว ซึ่งจะต้องหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกครั้ง ได้แก่ (1) การปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ่านกองทุนร่วมทุนเกษตรกร 50,000 ล้านบาท (2) การพัฒนานักธุรกิจเกษตรอัจฉริยะ และ (3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตผ่านกลไกการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม
5.    ข้อเสนอมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) แนวทางในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากมาตรการสินเชื่อใหม่วงเงิน 500,000 ล้านบาท สำหรับภาคธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ (1) สถาบันการเงินจะกระจายวงเงินให้ลูกหนี้ทุกระดับของ SMEs ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ กระจายวงเงินครอบคลุม ทุกอุตสาหกรรม  ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และการให้วงเงิน ไม่จำกัดเฉพาะลูกหนี้ชั้นดีของสถาบันการเงินเท่านั้น (2) ผ่อนปรนเงื่อนไขและแนวทางการพิจารณาวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ (Soft Loan) ของ ธปท. ให้กระจายไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย โดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม (3) เพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันส่วนสูญเสียจากเดิมแก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
อย่างไรก็ตามข้อเสนอทั้ง 5 กลุ่ม มีหลายมาตรการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานของหน่วยงานและสามารถดำเนินการได้ทันที หลายมาตรการยังไม่ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอีกส่วนหนึ่งเป็นมาตรการระยะยาว ดังนั้น เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม จึงได้แบ่งมาตรการเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 
(1) กลุ่มมาตรการที่ทำได้ทันที เช่น การเยียวยาเกษตรกร การอนุญาตให้ปรับการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงได้  (2) กลุ่มต้องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ลดเงินสมทบประกันสังคมนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ระยะเวลา 180 วัน การให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า กรณีใช้งบประมาณเพื่อป้องกัน COVID-19 และการขอขยายสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐออกไป 4 เดือน จังหวัดและธุรกิจที่มีความเสี่ยงระดับต่ำถึงปานกลางจะทดลองนำร่อง (Sandbox) เป็นต้น (3) กลุ่มมาตรการระยะยาว เช่น การแก้กฎหมายเพื่อรองรับการจัด E-Gov การจัดตั้ง “กองทุนร่วมทุนเกษตรกร” 50,000 ล้านบาท โดยในระยะต่อไป สศช. จะได้ดำเนินการประมวลมาตรการและข้อเสนอจากทุกภาคส่วนและนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการโดยเร็วต่อไป

สำหรับรายชื่อผู้ร่วมแถลงข่าว​คณะที่ปรึกษา​ด้านธุรกิจ​ภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์​การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา​ 2019​ ครั้งที่​ 2/2563 ประกอบด้วย1.นายวีระ​ วีระกุล​ รองประธาน​และประธานพันธกิจด้านการเป็นศูนย์​รวมนวัตกรรมของโลก 2.นายประพัฒน์​ ปัญญาชาติรักษ์​ ประธานสภาเกษตรกร​แห่งชาติ

3.นายกลินท์​ สารสิน​ ประธานกรรมการสภาหอการค้า​แห่ง​ประเทศไทย​ 4.นายทศพร​ ศิริสัมพันธ์​ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ​และสังคมแห่งชาติ

5.นายสุพันธุ์​ มงคลสุธี​ ประธานกรรมการสภาอุตสาหกรรม​แห่ง​ประเทศไทย​ 6.นายปรีดี​ ดาวฉาย​ ประธานสมาคมธนาคาร​ไทย​