ราคานํ้ามันดิบในตลาดโลก ได้ดีดตัวสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคานํ้ามันดิบดูไบ ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 69.76 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังสหรัฐอเมริกา สังหารผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของอิหร่านเสียชีวิต ส่งผลให้ผู้นำสูงสุดของอิหร่านประกาศจะแก้แค้นสหรัฐอเมริกาคืน ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงหากอิหร่านตอบโต้ สหรัฐฯ จะตอบโต้อย่างรุนแรงโดยโจมตีเป้าหมาย 52 แห่งในอิหร่าน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายที่นอกเหนือจากเป้าหมายทางการทหาร
นอกจากนี้ รัฐสภาอิรักได้มีมติผ่านร่างกฎหมายสนับสนุนการถอนกองกำลังต่างชาติออกจากอิรัก และป้องกันไม่ให้กองกำลังต่างชาติใช้น่านนํ้าหรือน่านฟ้าของอิรักในการปฏิบัติทางการทหารอีกต่อไปทำให้สหรัฐฯ เตรียมมาตรการควํ่าบาตร ที่อาจจะส่งผลต่อปริมาณนํ้ามันดิบของโลก โดยทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่าราคานํ้ามันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้อยู่ในกรอบ 66.5-72.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ดึงกองทุนอุดหนุนราคา
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การรับมือวิกฤตินํ้ามันตะวันออกกลางที่จะเกิดขึ้น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้สำนักงานกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง (สกนช.) ไปจัดทำเป็น Scenario หรือแนวทางในการบริหารจัดการระดับราคานํ้ามันในช่วงต่างๆ โดยใช้กลไกของกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงที่มี 37,000 ล้านบาท เข้ามาอุดหนุนราคาขายปลีกนํ้ามัน ไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นไปมาก เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งจะนำมาเสนอในการประชุมผู้บริหารกระทรวงในวันที่ 10 มกราคมนี้
เบื้องต้นมีแนวทางว่า ปัจจุบันราคาขายปลีกนํ้ามันดีเซลบี 10 ซึ่งเป็นนํ้ามันดีเซลพื้นฐานอยู่ที่ 25.39 บาทต่อลิตร ในระยะแรกจะให้ประชาชนรับภาระจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกไปก่อนกว่า 4 บาทต่อลิตร เมื่อราคานํ้ามันดิบดูไบปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ราคาขายปลีกนํ้ามันดีเซลพุ่งขึ้นไปเกิน 30 บาทต่อลิตร กองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงจะเข้ามาอุดหนุนเพื่อไม่ให้ดีเซลบี 10 เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งทางสกนช.จะไปพิจารณาดูว่าเงินกองทุน นํ้ามันฯ ที่มีอยู่ จะสามารถเข้ามาอุดหนุนได้ในระยะเวลากี่เดือน และหากราคานํ้ามันดิบดูไบขยับขึ้นไปอีก เงินกองทุนที่มีอยู่จะเพียงพออุดหนุนหรือไม่เพราะทุกๆ ราคานํ้ามันดิบที่ปรับขึ้น 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จะกระทบราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร และหากเงินที่มีอยู่ 3.7 หมื่นล้านล้านบาท ไม่เพียงพอจะต้องกู้อีก 2 หมื่นล้านบาทมาอุดหนุนราคานํ้ามัน หรือไม่
ห้ามส่งออกนํ้ามัน
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ส่วนการรับมือการขาดแคลน นํ้ามันในประเทศ ระยะช่วง 3 เดือนนี้จะขอความร่วมมือโรงกลั่นนํ้ามันที่มีอยู่ 6 แห่ง รวมกำลังผลิตกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่มีแผนจะหยุดซ่อมบำรุงในช่วงนี้ ให้ปรับแผนเลื่อนออกไปก่อน และหากมีเหตุการณ์ปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง จะส่งผลให้นํ้ามันดิบที่นำเข้ามาหายไปครึ่งหนึ่งจากปัจจุบัน นำเข้าอยู่ราว 9 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะต้องหันไปนำเข้านํ้ามันดิบจากแหล่งอื่นมาทดแทน เช่น สหรัฐอเมริกา นิวเซาธ์แอฟริกา และเมดิเตอร์ เรเนียน เป็นต้น
อีกทั้ง จะแจ้งให้ผู้ผลิตปิโตรเลียมทราบล่วงหน้าก่อน 1 สัปดาห์ ให้เร่งนำนํ้ามันดิบขึ้นมาได้ราว 3.6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน รวมทั้ง ขอความร่วมมือในการห้ามส่งออกนํ้ามันดิบที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 2.6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้จะทำให้มีนํ้ามันดิบป้อนโรงกลั่นได้เพิ่มอีกราว 6.1 หมื่นบาร์เรลต่อวัน จากที่ป้อนให้โรงกลั่นอยู่ราว 1.3 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงจะต้องขอความร่วมมือกับโรงกลั่นนํ้ามันหรือผู้ค้านํ้ามันห้ามส่งออกนํ้ามันสำเร็จรูปควบคู่ไปด้วย
ปัจจุบันไทยมีปริมาณสำรองนํ้ามันดิบประมาณ 2,988 ล้านลิตร ปริมาณสำรองนํ้ามันดิบ ที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,144 ล้านลิตร นํ้ามันสำเร็จรูป 1,468 ล้านลิตร รวมจำนวนวันที่สามารถ ใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงได้ทั้งหมด 50 วัน ส่วนปริมาณสำรองก๊าซ LPG ทั้งหมดประมาณ 101 ล้านกิโลกรัม สำรองได้ 17 วันสำหรับใช้ในภาคครัวเรือน
ชี้มีโอกาสพุ่ง100 ดอลลาร์
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สำนักข่าว CNBC ชี้ราคานํ้ามันดิบมีโอกาสขึ้นไปอยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ Eurasia Group ประเมินโอกาสเกิดสงครามเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 40% หากอิหร่านปิดช่องแคบนี้จะส่งผลทำให้ปริมาณนํ้ามันดิบจากตะวันออกกลาง ไม่สามารถขนส่งไปยังในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคานํ้ามันดิบปรับตัวสูงขึ้นทันที
นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า หากมีสงครามเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ราคานํ้ามันจะสูงขึ้นต่อเนื่อง และหากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซจะทำให้การขนส่งนํ้ามันจากตะวันออกกลาง ซึ่งคิดเป็น 20% ของนํ้ามันที่ใช้อยู่ทั่วโลก ราคานํ้ามันอาจขึ้นไปเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศพัฒนาแล้วสูงขึ้นกว่า 3.5-4.0% จะทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกไม่อาจลดลงไปได้อีก หรืออาจจะต้องปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนสำหรับการกู้เงินสูงขึ้น