นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.)กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการส่งออกของไทยมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก เพราะเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นส่งท้ายปี 2562 ที่ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แม้เปิดมาวันทำการแรกของปี 2563 จะขยับมาที่ 30.09 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ตาม แต่จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังทรงตัว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่จะทำให้มีเงินทุนยังไหลเข้ามาไทยอยู่ ซึ่งจะทำให้เงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง
โดยจากการประมาณการณ์เงินบาทไทย หากอยู่ที่ 30.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกไทยในปี 2563 จะโตตามกรอบที่ สรท.คาดไว้ 0-1% และหากอยู่ที่ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกจะติดลบ 2.8% และหากอยู่ที่ 28.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้การส่งออกไทยมีโอกาส ติดลบถึง 5% แต่หากเงินบาทอ่อนค่า ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกจะโตได้1.4% และหากอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกไทย จะขยายตัวได้ถึง 4 %
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามาเพิ่มเติมจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน ที่จะส่งผลต่อการขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ / ข้าว และอาหาร และในระยะสั้น อาจจะเห็นราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนของเอกชน เพิ่มเติมจากค่าแรงที่เพิ่งปรับขึ้น ที่จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ภาพรวมการส่งออกล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา มีมูลค่า 19,657 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวถึง7.35% ส่งผลให้ในระยะ 11 เดือนของปีนี้ ยังหดตัวที่ 2.8% โดย สรท. ประเมินว่ายังไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนจะกระตุ้นการส่งออก ซึ่งปัจจัยเสี่ยงหลักยังมาจากเงินบาทไทยที่ยังแข็งค่า ที่มีโอกาสฉุดการส่งออกในปี 2563 นี้ให้ติดลบถึง 5% และยังมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน
โดย สรท. เสนอให้ภาครัฐ เร่งแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า เช่น สนับสนุนการปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อต่อการโอนเงินให้มีความคล่องตัวขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการในประเทศในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนทางการส่งออก รวมทั้งการสนับสนุนการทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และสินเชื่อความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ที่ธนาคาร ยังคิดค่าธรรมเนียมที่สูงมาก ทั้งนี้สรท.จะเข้าพบผุ้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยในสัปดาห์หน้าเพื่อหารือเรื่องค่าบาทและแนวทางในการหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ