ระทึกเส้นทางน้ำมัน-การค้า อิหร่าน-อิรักร่วม "เช็คบิล" สหรัฐฯ

05 ม.ค. 2563 | 21:19 น.

 

ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศด้วยโดรนของสหรัฐอเมริกากลางกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก เมื่อรุ่งเช้าของวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลปลิดชีพผู้นำกองกำลังคนสำคัญทั้งของ "อิหร่าน" และ "อิรัก" ในคราวเดียวกัน ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางพุ่งขึ้นถึงจุดที่ทำให้หลายฝ่ายวิตกว่าภาวะสงครามอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้นำสูงสุดของอิหร่านประกาศกร้าวไปยังสหรัฐฯว่า “จงรอคอยการแก้แค้นอย่างสาสม" กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRGC) พร้อมจะ “เล่นงาน” ผลประโยชน์ของสหรัฐฯทั้งในตะวันออกกลางและทั่วโลก ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยังคงสาดน้ำมันเข้ากองไฟให้ลุกโชนเข้าไปอีกด้วยการขู่จะกระหน่ำโจมตีอิหร่านอีกหลายแห่งด้วยอาวุธสุดอลังการที่สหรัฐฯมีอยู่หากอิหร่านกล้าหือโต้กลับ ประสานเสียงเชียร์ของผู้นำอิสราเอลที่พร้อมหนุนการโจมตีของสหรัฐฯอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู นำไปสู่ความเคลื่อนไหวสำคัญวานนี้ (5 ม.ค.) ในกรุงแบกแดด เมื่อรัฐสภาอิรักลงมติเป็นเอกฉันท์ผ่านร่างกฎหมายให้รัฐบาลยกเลิกการให้กองกำลังต่างชาติเข้ามาประจำการ เพื่อปูทางไปสู่การไล่กองกำลังของสหรัฐฯที่ประจำการอยู่ราว 5,200 นายออกพ้นแผ่นดินอิรัก

การชุมนุมประท้วงปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯในกรุงแบกแดดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ต่อไปนี้เป็นสรุปภาพเหตุการณ์ 3 วันอันตรายในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และผลกระทบที่นักวิเคราะห์หวั่นเกรงกันว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ และอาจจะมีผลลากยาวหากสถานการณ์ทวีความรุนแรง

 

วันสังหาร : ศุกร์ 3 ม.ค. 2563

+ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งปฏิบัติการทางอากาศในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก สังหารนายพลกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์ (Quds Force) หน่วยงานในสังกัดกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน และคนอื่นๆอีก 9 คนซึ่งรวมถึงนายพล อาบู มาห์ดี อัล-มูฮันดีส ผู้นำกองทัพอิรัก และรองผู้นำกลุ่มฮาชด์ชาบี(Hashd Shaabi) ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอิหร่าน โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุนายพลผู้นี้เป็นบุคคลอันตรายเบื้องหลังเหตุการณ์รุนแรงหลายครั้งที่มีพลเรือนและกองกำลังของสหรัฐฯเป็นเป้าหมาย ทั้งยังมีแผนเตรียมการโจมตีสถานทูตสหรัฐฯหลายแห่งทั้งในกรุงแบกแดดและในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ประชาชนชาวอิหร่านเรือนหมื่นร่วมชุมนุมไว้อาลัยต่อการจากไปของนายพลโซเลมานีในกรุงเตหะราน

+ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ประกาศพร้อมตอบโต้สหรัฐฯอย่างสาสม และแต่งตั้งนายเอสมาอิล กานี เป็นผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์คนใหม่ ขณะที่ นายอาเดล อับดุล มาห์ดี รักษาการนายกรัฐมนตรีอิรัก กล่าวประณามสหรัฐฯ โดยถือการโจมตีครั้งนี้เป็นการแสดงความก้าวร้าวทั้งต่อรัฐบาลและประชาชนอิรัก 

 

+ พลเอกโกลามาลี อาบูฮัมเซห์ ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่าน ซึ่งถือเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอันดับ 2 ของอิหร่าน ประกาศจะโจมตีฐานที่ตั้งหรือผลประโยชน์ของสหรัฐฯ 35 แห่งในภูมิภาคตะวันออกกลางรวมทั้งในกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เพิ่มความเป็นไปได้ว่า เรือรบอเมริกันในอ่าวเปอร์เซียอาจตกเป็นเป้าหมายการโจมตีล้างแค้นของอิหร่านด้วย   

 

+ สถานทูตสหรัฐฯในกรุงแบกแดด ประกาศเตือนชาวอเมริกันให้รีบเดินทางออกจากอิรัก โดยระบุเหตุผลว่า "เนื่องจากมีความตึงเครียดมากขึ้นในอิรักและในภูมิภาค” เช่นเดียวกับรัฐบาลแคนาดา ที่ประกาศเตือนให้พลเมือง ออกจากอิรัก โดยระบุว่า สถานการณ์ในอิรักและอิหร่านอาจจะเลวร้ายลง

 

+ ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นกว่า 4% และมีแนวโน้มขยับขึ้นไปอีกหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ รวมทั้งทองคำที่ปรับราคาสูงขึ้น 11.51 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯปรับตัวลง (ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์, ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 233.92 จุด 23.00 จุด และ 71.42 จุด หรือลดลง 0.81% 0.71% และ0.79% ตามลำดับ) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้น

 

เสียงปืนลั่น อิหร่านชักธงรบ : เสาร์ 4 ม.ค. 2563

+ อิหร่านชัก ธงแดงสีเลือดขึ้นเหนือสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์จามคาราน (Holy Dome of Jamkaran Mosque) ทางตะวันออกของเมืองกูม ส่งสัญญานว่าอิหร่านจะตอบโต้การโจมตีของสหรัฐฯ การชักธงแดงขึ้นสู่ยอดสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ถือเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าจะมีการแก้แค้นให้กับผู้ที่เสียชีวิตและเป็นการประกาศ “สงครามเต็มรูปแบบ”

  ระทึกเส้นทางน้ำมัน-การค้า อิหร่าน-อิรักร่วม "เช็คบิล" สหรัฐฯ

+ กระสุนปืนครก 2 นัดถูกยิงไปตกใกล้สถานทูตอเมริกันในกรุงแบกแดดของอิรัก และในเวลาไล่เลี่ยกัน มีจรวด 2 ลูกยิงเข้าใส่ฐานทัพอากาศอัล-บาลัดทางตอนเหนือของกรุงแบกแดดที่มีทหารอเมริกันประจำการณ์อยู่ ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บจากทั้ง 2 เหตุการณ์

 

+ โปรแกรมห้องสมุดของรัฐบาลกลางสหรัฐ ถูกกลุ่มที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับอิหร่าน เจาะระบบและโพสต์ภาพเป็นรูปธงอิหร่านพร้อมข้อความประกาศล้างแค้นให้นายพลโซเลมานี

 

+ ทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำว่า สหรัฐฯมีเป้าหมายโจมตี 52 แห่งในอิหร่าน แทนจำนวนคนอเมริกัน 52 คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันในสถานทูตสหรัฐฯ ที่กรุงเตหะรานเมื่อปลายปี 1979 (พ.ศ. 2522) และจะโจมตีอย่าง “รวดเร็วและหนักหน่วง” หากรัฐบาลอิหร่านปฏิบัติการแก้แค้นด้วยการโจมตีเจ้าหน้าที่หรือผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ผู้นำสหรัฐฯระบุว่า จำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลมเพราะ “สหรัฐไม่ต้องการเจอการคุกคามมากไปกว่านี้!” นอกจากนี้ ยังขู่ว่า สหรัฐฯ จะใช้ยุทโธปกรณ์อลังการใหม่ล่าสุดโดยไม่ลังเลเลย หากเตหะรานตอบโต้กลับมา 

  ระทึกเส้นทางน้ำมัน-การค้า อิหร่าน-อิรักร่วม "เช็คบิล" สหรัฐฯ

+ สื่อต่างประเทศรายงาน ชาวอิหร่านเรือนหมื่นออกมาเดินขบวนในกรุงเตหะราน เพื่อร่วมสวดมนต์แสดงความไว้อาลัยต่อนายพลโซเลมานี และแสดงความโกรธแค้นต่อปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯ ขณะที่ในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก มีผู้คนออกมารวมตัวหลายพันคนเพื่อประท้วงสหรัฐฯด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า กระทรวงกลาโหมเตรียมส่งทหารเข้าไปยังตะวันออกกลางอีกราว 3,000 นาย โดยจะเข้าประจำการในอิรัก คูเวต และประเทศใกล้เคียงในภูมิภาค แต่โฆษกเพนตากอนยืนยันว่า การส่งกองกำลังเข้าสู่ตะวันออกกลางครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สังหารนายพลโซเลมานี

 

+ รัฐบาลอังกฤษ ประกาศเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังอิรัก และหากไม่มีความจำเป็นใดๆ ก็ขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังอิหร่าน ขณะที่กระทรวงกลาโหมอังกฤษออกแถลงการณ์ว่า เรือฟริเกต เอชเอ็มเอส มอนโทรส และเรือพิฆาต เอชเอ็มเอส ดีเฟนเดอร์ จะรื้อฟื้นภารกิจติดตามคุ้มกันเรือสินค้าสัญชาติอังกฤษในช่องแคบฮอร์มุซอีกครั้งเพื่อปกป้องเรือและพลเมืองของอังกฤษในช่วงเวลานี้

ระทึกเส้นทางน้ำมัน-การค้า อิหร่าน-อิรักร่วม "เช็คบิล" สหรัฐฯ

+ อิสราเอล พันธมิตรของสหรัฐฯในตะวันออกกลาง ประกาศจุดยืนสนับสนุนปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯ

 

+ แต่สมาชิกพรรคเดโมแครต ฝ่ายค้านของสหรัฐฯ ออกมาประณามว่า การกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์จากพรรครีพับลิกันนั้นเป็นการกระทำที่ บุ่มบ่ามขาดความยั้งคิด และทำให้เสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดความรุนแรงในภูมิภาคตะวันออกกลาง

 

อิรักลงมติ “เฉด” ทหารมะกันพ้นแผ่นดิน : อาทิตย์ 5 ม.ค. 2563

 

+ รัฐสภาอิรัก ลงมติเป็นเอกฉันท์ (ทั้งหมด170 เสียง) ให้การรับรองร่างกฎหมายที่กำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯถอนกองกำลังทั้งหมดออกจากอิรัก โดยอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 59 และ 109 และอ้างเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกสภาในฐานะผู้แทนประชาชนที่จะต้องปกป้องความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วยข้อกำหนด 4 ข้อ คือ (1) รัฐบาลกลางของอิรักต้องยกเลิกคำขอร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯ ที่มีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้กลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส) ภาคพื้นดิน ซึ่งปัจจุบันปฏิบัติการทางทหารดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้วหลังสามารถกำราบกลุ่มไอเอส รัฐบาลอิรักจึงควรยกเลิกการอนุญาตให้กองกำลังต่างชาติประจำการในประเทศและป้องกันไม่ให้ต่างชาติใช้น่านฟ้าของอิรักอีกต่อไป (2) รัฐบาลและผู้บัญชาการกองทัพต้องประกาศจำนวนครูฝึกชาวต่างชาติที่ต้องการ รวมถึงสถานที่ฝึก หน้าที่ความรับผิดชอบของครูฝึก และระยะเวลาของสัญญาจ้างให้ชัดเจน (3) รัฐมนตรีต่างประเทศ ในฐานะตัวแทนรัฐบาล ต้องยื่นร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่าสหรัฐอเมริกาละเมิดอธิปไตยและความมั่นคงของอิรัก (4) ร่างกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

 

+ กระทรวงต่างประเทศอิรัก ยื่นหนังสือถึงยูเอ็นและยูเอ็นเอสซี เรียกร้องให้มีการประณามสหรัฐฯกรณีสั่งการโจมตีเพื่อสังหารนายพลโซเลมานี

 

+ ร่างของนายพลโซเลมานีถูกเคลื่อนย้ายจากเมืองคูเซสถาน เมืองชายแดนติดอิรัก ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่าน มายังเมืองมัชฮาด ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมชีอะห์ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนจะเข้าสู่เมืองหลวงเตหะราน จากนั้นร่างของเขาจะถูกนำไปทำพิธีฝังอย่างสมเกียรติที่บ้านเกิดในเมืองเคอร์แมนในวันอังคารนี้ (7 ม.ค.)  

 

ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกหลังจากนี้ คือความเสี่ยงที่ตลาดการเงินต้องนำมาพิจารณา การที่กระทรวงกลาโหมอังกฤษส่งเรือของกองทัพติดตามให้ความคุ้มกันเรือสินค้าสัญชาติอังกฤษในช่องแคบฮอร์มุซอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นชัดว่า สถานการณ์การเผชิญหน้าที่ร้อนระอุในตะวันออกกลางเวลานี้มีความเสี่ยงจะส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนและเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน นักวิเคราะห์ของธนาคารยูบีเอสประเมินสถานการณ์ว่า มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเกิดการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน เรือพาณิชย์ หรือโรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ที่เป็นเส้นทางขนส่งลำเลียงน้ำมันที่สำคัญ เนื่องจากอิหร่านเอง ซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทหลักในการควบคุมเส้นทางดังกล่าว ก็จำเป็นต้องใช้เส้นทางนี้เพื่อการส่งออกน้ำมันด้วยเช่นกัน

  ภาพถ่ายจากดาวเทียมบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์บานปลายและมีการปิดเส้นทางเดินเรือบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ แนวโน้มราคาน้ำมันก็จะทะยานสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางส่วนใหญ่ต้องผ่านช่องแคบนี้ นักวิเคราะห์ประมาณการณ์ว่า การขนส่งน้ำมันราว 20 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่องแคบฮอร์มุซอาจถูกคุกคามจากการตอบโต้ของอิหร่าน ทั้งนี้ เทียบเคียงเหตุการณ์กับเมื่อปี 2562 ที่มีการโจมตีเรือ 2 ลำในช่องแคบโอมานซึ่งลำหนึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในช่วงเวลานั้น

 

นักวิเคราะห์ของบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง ยูเรเซีย กรุ๊ป (Eurasia Group) ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบโลกอาจพุ่งขึ้นถึงระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หากความขัดแย้งในตะวันออกกลางครั้งล่าสุดนี้ลุกลามจนส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในอิรักหรือส่งผลกระทบกับการขนส่งลำเลียงน้ำมันทางเรือในอ่าวเปอร์เซีย ปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ อยู่ที่ระดับ 63.84 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ระดับ 69.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งเป็นราคาที่พุ่งขึ้น 4.3% และ 4.4% ตามลำดับ หลังเกิดเหตุสหรัฐฯโจมตีทางอากาศสังหารนายพลโซเลมานีเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ การขนส่งสินค้าอื่นๆที่ไม่ใช่น้ำมัน ก็มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เนื่องจากการเดินเรือกว่า 20% ของโลกใช้เส้นทางผ่านช่องแคบฮอร์มุซ หากมีการปิดเส้นทาง ทั้งเรือบรรทุกน้ำมันและเรือสินค้า จะไม่สามารถใช้ช่องแคบเพื่อเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียได้