ชาวสวนยางเฮ สัปดาห์นี้ได้เงินประกันแน่
ธ.ก.ส.เตรียมจ่ายเงิน ประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา วงเงิน 24,000 ล้านบาท สัปดาห์นี้ หลังครม.เคาะช่วยเหลือแล้ว ชี้ราคาประกันสูงราคาอ้างอิงตลาดมาก
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าธ.ก.ส.เตรียมพร้อมที่จะจ่าย เงินให้กับเกษตรกรในโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 1 วงเงิน 24,000 ล้านบาท หลังจากคณะรััฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมาโดยคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินตรงผ่านบัญชีธ.ก.ส.ให้กับเกษตรกรได้ภายในสัปดาห์นี้หากได้รายชื่อเกษตรกรจากกรมส่งเสริมการเกษตรที่อยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อ ซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราลงทะเบียนไว้ 200,000 ราย
ทั้งนี้เชื่อว่าจะมีเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก เนื่องจากราคาประกันรายได้ครั้งนี้สูงกว่าราคาอ้างอิงในตลาดพอสมควร โดยราคาประกันสำหรับยางแผ่นดิบคุณภาพดีอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท จากราคาอ้างอิงในตลาดอยู่ที่ 3 กิโลกรัม เพียง 100 บาทเท่านั้น
“ปีนี้รัฐบาลให้ราคาดี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ที่ได้รับผลกระทบจากราคาในตลาดที่ตกต่ำ โดยราคาที่ได้ถือว่าสูงพอสมควร เมื่อเทียบกับที่ผ่านๆ มา จึงทำให้เชื่อว่าจะมีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายเต็มที่ ขอแค่มีรายชื่อมาก็สามารถโอนเงินให้เกษตรกรได้เลย”
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 1 กำหนดราคาประกันยาง 3 ชนิดคือ 1. ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคากิโลกรัมละ 60 บาท, นํ้ายางสด (DRC 100%) ราคากิโลกรัมละ 57 บาท และยางก้อนถ้วย(DRC 50%) ราคากิโลกรัมละ 23 บาท โดยกำหนดเป็นสวนยางที่เปิดกรีดแล้วอายุ 7 ปีขึ้นไป เข้าโครงการได้สูงสุดรายละไม่เกิน 25 ไร่ มีระยะเวลาโครงการ 6 เดือนด้วยกัน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562-มีนาคม 2563 ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย(กยท.)ก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2562
ทั้งนี้เมื่อได้ข้อมูลเกษตรกรแล้ว ธ.ก.ส.โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรชาวสวนยางเป็นงวดๆ คือ เมื่อเกษตรกรเข้ามาประกันรายได้เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562 จะจ่ายเงินงวดที่ 1 ระหว่างวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2562, เกษตรกรเข้ามาประกันรายได้เดือนธันวาคม 2562-มกราคม 2563 จะจ่ายเงินงวดที่ 2 ระหว่างวันที่ 1-15 มกราคม 2563 และเมื่อเกษตรกรเข้ามาประกันรายได้ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2563 จะจ่ายเงินงวดที่ 3 ระหว่างวันที่ 1-15 มีนาคม 2563
สมเกียรติ กิมาวหา
ส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/ 2563 รอบที่ 1 ขณะนี้ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินไปแล้ว 9,400 ล้านบาท จากกรอบวงเงินงบประมาณ 20,940 ล้านบาท โดยมีเกษตรกรได้ประโยชน์แล้ว 617,000 ราย จากจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรไว้ 4.31 ล้านราย จากการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั้งสิ้น 5 ประเภทคือ ข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน, ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน, ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน, ข้าวเปลือกหอมปทุมธานีตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
ขณะที่โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/2563 รายละ 500 บาทต่อไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ ขณะนี้ได้จ่ายเงินชดเชยให้กับเกษตรกรไปแล้ว 20,000 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ 25,427.48 ล้านบาท
ส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มนํ้ามันปี 2562/2563 ที่ให้สิทธิกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มนํ้ามันที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กรมส่งเสริมการเกษตรจะได้รับเงินชดเชยตามพื้นที่่ปลูกจริง ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ไร่และเป็นพื้นที่ปลูกปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ระยะเวลาดำเนินโครงการตุลาคม 2562-กันยายน 2563 โดยธ.ก.ส.จ่ายเงินให้กับเกษตรแล้ว 250,000 ราย เป็นเงิน 1,300 ล้านบาท จากเกษตรกร 254,730 ราย วงเงินงบประมาณ 1,351 ล้านบาท โดยเกษตรกรได้รับชดเชยส่วนต่างจากราคาอ้างอิงในตลาดที่ 2.60 บาทต่อตัันกับราคาประกันที่ 4 บาทต่อตัน
หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,516 วันที่ 24-26 ตุลาคม 2562
