โบรกฯชี้ทิศทางดอกเบี้ยโลกยังเป็นขาลง กดดันค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี กระทบกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอ นิกส์ เกษตรและอาหาร ด้านพลังงาน-ปิโตรเคมี-สายการบิน รับประโยชน์ต่อเนื่อง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่ยังเป็นขาลง ทำให้แนวโน้มเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี อยู่บริเวณ 30.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าประมาณ 7.1% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 31.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้หากเงินบาทยังแข็งค่าใกล้เคียงปัจจุบันที่ 30.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลให้ในช่วงที่เหลือของปี 2562 ค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ตํ่ากว่าสมมติฐานที่คาดไว้ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม จากเงินบาทที่แข็งค่ามีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย โดยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีรายได้เกือบทั้งหมดเป็นสกุลเงินต่างประเทศ แต่มีต้นทุนเป็นสกุลเงินต่างประเทศในสัดส่วนที่น้อยกว่า ซึ่งทุกๆ 1 บาท ที่ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าสมมติฐานค่าเงินปี 2562 ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะกระทบต่อคาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มชิ้นส่วนฯ ลดลงประมาณ 5.8% จากปัจจุบัน คาดว่าหุ้นที่ได้รับผลกระทบคือ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA), บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) (HANA), บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) (KCE) และบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) (SVI)
ขณะที่ กลุ่มเกษตรและอาหาร มีสัดส่วนรายได้สกุลเงินสหรัฐฯมากกว่าต้นทุนในการผลิต โดยต้นทุนส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจากสมมติฐานกระทบกำไรกลุ่มปี 2562 ลดลง 4.6% จากคาดการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับผลกระทบมากสุด คือ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) (STA) ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่ากำไรสุทธิลดลง 7.2%, บริษัท นํ้าตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (KSL) กระทบกำไรสุทธิ 6.7%, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TU) กำไรสุทธิลดลง 5.5%, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) กำไรสุทธิลดลง 2.7% และบริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) (GFPT) ลดลง 2.4%
ด้านบจ.ที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า คือ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TFG) ที่มีการส่งออกไก่ไปต่างประเทศประมาณ 22% ของรายได้รวม แต่ได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลงด้วยการนำเข้ากากถั่วเหลืองประมาณ 23% ของต้นทุนรวม โดยทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ TFG มีกำไรเพิ่มประมาณ 1% และเพิ่มมูลค่าหุ้นอีก 1.1%
ขณะเดียวกัน กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่ส่วนใหญ่มีภาระหนี้อยู่ในสกุลดอลลาร์ ซึ่งเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่า ทำให้เงินต้นที่ต้องชำระดอกเบี้ยลดลง และมีโอกาสบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในงบกำไรขาดทุน ทั้งนี้ แนะนำ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) จะได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายทางด้านภาษีที่จะลดลง โดยทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจะจ่ายค่าใช้จ่ายทางด้านภาษีลดลงประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้กลุ่มสายการบินมีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ประมาณ 60% จากค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ต้นทุนลดลง แต่จะถูกหักล้างจากราคานํ้ามันดิบโลกที่ทรงตัวในระดับสูง แนะนำ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) (AAV), บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BA)
ด้านนางสาวนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิปฯ ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 3 ปี 2562 ของ PTTEP อยู่ที่ 10,755 ล้านบาท ลดลง 28.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากต้นทุนการผลิตเร่งตัวขึ้น แม้ปริมาณขายไตรมาส 3 คาดจะเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยลดลง 4% ตามราคานํ้ามันปรับตัวลง ส่วนต้นทุนการผลิตเร่งตัวขึ้นโดยเฉพาะค่าเสื่อมราคา, ค่าใช้จ่ายดำเนินงานจากการรวม Murphy เข้ามา และค่าสำรวจเพิ่มจากการเจาะหลุมใหม่ ด้านเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.16 บาท ส่งผลให้มีผลประโยชน์ทางภาษีประมาณ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งยังมีกำไรจากการป้องกันความเสี่ยงของราคานํ้ามันประมาณ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บล.ทิสโก้ฯ ระบุว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ของ HANA อยู่ที่ 442 ล้านบาท ลดลง 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 18% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยลดลงจากทั้งรายได้และอัตรากำไรหลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมถึงคาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 382 ล้านบาท ลดลง 54% จากปีก่อน และ 12% จากไตรมาสก่อน หลังจากกำไรของอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงในไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ 60 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2562 ที่ 71 ล้านบาท
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,513 วันที่ 13-16 ตุลาคม 2562