ปตท.เร่งปั้นฮับแอลเอ็นจีของภูมิภาค ชิงตัดหน้าสิงคโปร์และมาเลเซีย ดึงกลุ่มลูกค้าทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ใช้บริการเก็บสต๊อก พร้อมป้อนโรงงานในอีอีซี มีผลต่อเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท
สำนักงานคณะกรรมการกำ กับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้ประกาศผู้ที่ผ่านการพิจารณาและได้รับสิทธิเข้าร่วมในโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการพลังงาน (ERC Sandbox) ที่น่าสนใจเป็นโครงการ Regional LNG Hub ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และโครงการการศึกษาและพัฒนาศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวผ่านสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวของ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้มีเป้าหมายที่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือ คลัง และสถานีรับจ่ายก๊าซแอลเอ็นจี ขึ้นเป็นศูนย์กลางการซื้อขายแอลเอ็นจีในภูมิภาค
จากนี้ไป กลุ่มปตท.จะต้องส่งแผนการดำเนินงานหรือขั้นตอนวิธีการ เพื่อมุ่งสู่การเป็นฮับแอลเอ็นจีให้สำนักงาน กกพ.รับทราบ จากการใช้ประโยชน์ของคลังแอลเอ็นจีที่มีอยู่ ในการให้บริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการขนถ่ายแอลเอ็จีจากเรือ การให้บริการกักเก็บแอลเอ็นจีในถังกักเก็บ การให้บริการขนถ่ายแอลเอ็นจีลงรถบรรทุกเพื่อขนส่งแอลเอ็นจีทางบกไปสู่ลูกค้า การให้บริการแปรสภาพแอลเอ็นจี เป็นก๊าซธรรมชาติ ส่งผ่านไปสู่ลูกค้าภายในประเทศ การให้บริการขนถ่ายแอลเอ็นจีจากถังกักเก็บไปสู่เรือขนาดมาตรฐานและเรือขนาดเล็กเพื่อขนส่งไปยังลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเรือขนาดเล็กที่ให้บริการเติมแอลเอ็นจีให้แก่เรือที่ใช้แอลเอ็นจี เป็นเชื้อเพลิงในการเดินเรือ รวมถึงการให้บริการทำความเย็นถังเก็บแอลเอ็นจีของเรือหรือรถบรรทุก เพื่อเตรียมการรับแอลเอ็นจี
นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ ERC Sandbox จะเป็นการปลดล็อกเงื่อนไขต่างๆ ให้กลุ่มปตท.สามารถทดลองบริหารจัดการท่าเรือ คลัง และสถานีรับจ่ายก๊าซแอลเอ็นจีได้ โดยเปิดให้ผู้สนใจหรือประเทศที่มีความต้องการใช้ก๊าซเข้ามาฝากแอลเอ็นจีที่คลังมาบตาพุดขนาด 5.2 ล้านตันต่อปี และคลังที่หนองแฟบ ขนาด 7.5 ล้านตันต่อปี ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 มาดำเนินงานในรูปแบบต่างๆ ได้
ทั้งนี้ รูปแบบการบริหารจัดการ จะเปิดให้ผู้สนใจสามารถนำก๊าซแอลเอ็นจีมาฝาก และคิดค่าบริการได้ ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าหรือประเทศที่เป็นผู้นำเข้าแอลเอ็นจีรายใหญ่ของโลก หลายรายทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน แสดงความสนใจ ที่จัดซื้อแอลเอ็นจีในช่วงราคาถูกมาฝากไว้ เพื่อใช้ในช่วงฤดูหนาวที่แอลเอ็นจีมีราคาแพง
รวมถึงเปิดโอกาสให้ปตท.สามารถนำเข้าแอลเอ็นจีรูปแบบลำเรือหรือคาร์โก และส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ทำให้ปริมาณแอลเอ็นจีของไทยสูงขึ้น เพิ่มสัดส่วนในตลาด เปิดโอกาสในการแข่งขันการส่งออกแอลเอ็นจีได้ในภูมิภาคอาเซียน และสามารถใช้กลไกจัดซื้อแอลเอ็นจีในราคาถูก และนำไปขายในช่วงราคาแพงทำกำไรได้โดยการใช้เรือขนาดใหญ่นำเข้ามา และขนถ่ายลงเรือขนาดเล็กส่งไปกัมพูชา เวียดนาม จีนตอนใต้ หรือการขนส่งทางรถบรรทุกไปสปป.ลาว เป็นต้น
อีกทั้งรองรับความต้องการของลูกค้า ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ซึ่งอยู่ไกลแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ โดยการขนส่งทางรถบรรทุก ซึ่งจะช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากถังกักเก็บ ที่จะได้ค่าบริการฝากแอลเอ็นจีจากหลายรายในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การคืนทุนในการก่อสร้างคลังแอลเอ็นจีเร็วขึ้น และจะมีผลต่อเนื่องไปยังค่าบริการรับฝากที่ถูกลง นำส่วนต่างไปบริหารต้นทุนค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าของประเทศได้
นายวุฒิกร กล่าวอีกว่า หลังจากกที่ปตท.ส่งแผนการดำเนินงานให้กกพ.รับทราบแล้ว จะเริ่มทดลองระบบต่างๆ รวมทั้งรอการคิดค่าบริการฝากถัง ค่าบริการขนถ่ายจากคลังลงเรือ และรถบรรทุก จากกกพ. คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ไม่เกินไตรมาสที่ 2 ของปี 2563
ทั้งนี้ หากดำเนินงานได้ตามแผนที่วางไว้จะทำให้ประเทศสามารถรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน เพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศได้ เกิดการกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่คุณค่าของแอลเอ็นจี และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากการประเมินเบื้องต้นของการพัฒนาฮับแอลเอ็นจี จะมีประโยชน์ส่วนเพิ่มต่อเศรษฐกิจโดยรวมประมาณ 1.65 แสนล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 10 ปี (2563-2573) และเพิ่มอัตราการจ้างงานได้ราว 1.6 หมื่นคน
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3508 วันที่ 26-28 กันยายน 2562