สงครามการค้าระหว่าง 2 พี่เบิ้มจีน-อเมริกากลายเป็นปัญหาที่ลุกลามไปทั่วโลก ยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศ จากผลกระทบที่เชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ พาสะเทือนลงไปถึงภาคการผลิตทั้งระบบ และฐานการผลิตไทยในเวลานี้หลายกลุ่มอุตสาหกรรมอยู่ในสถานะต้องจับตา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องยนต์หรือตัวเร่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย อย่างอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงอยู่ในลำดับต้นๆ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นที่ส่งออก
-มูลค่าส่งออกติดลบ
จากผลกระทบจากสงครามการค้าหนนี้ สะท้อนให้เห็นว่าสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มส่งสัญญาณส่งออกติดลบต่อเนื่อง ดูจากหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าส่งออก 7 เดือนแรกปีที่แล้วอยู่ที่ 455,062.1 ล้านบาท ช่วงเดียวกันปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 452,398.3 ล้านบาท ส่วนหมวดอิเล็กทรอนิกส์ช่วง 7 เดือนแรกปีก่อน มีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 707,395.5 ล้านบาท ช่วงเดียวกันปีนี้มูลค่าส่งออกร่วงลงมาอยู่ที่ 635,306.3 ล้านบาท และเมื่อลงไปเจาะรายสินค้าพบว่าส่วนใหญ่เกือบทุกรายการในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าส่งออกติดลบ โดยตลาดส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าฯที่ส่งไปจีน เวียดนาม ขยายตัวลดลง และตลาดส่งออกหลักของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ไปอเมริกา ฮ่องกง และจีน ก็ขยายตัวลดลงเช่นกัน
นางกนิษฐ์ เมืองกระจ่าง ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ถึงแม้ว่าภาวะการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จะมีแนวโน้มลดลง จากภาวะตลาดโลกที่ชะลอตัว, ปัญหาเทรดวอร์ และความไม่แน่นอนในการสั่งซื้อของตลาดโลก ฯลฯ แต่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ส่งออกเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และส.อ.ท.ก็ต้องสนับสนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อรับกับการค้าที่อยู่บนโจทย์ที่ยากขึ้น
-ค่ายรถส่งสัญญาณแล้ว
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2561 พบว่าฐานการผลิตไทยเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่มียอดการผลิตอยู่ในลำดับที่ 10 ของโลก ด้วยยอดผลิตที่ 2.16 ล้านคัน เหนือแคนาดา รัสเซีย และอังกฤษ นับจากที่ทุนข้ามชาติแห่เข้ามายึดฐานการผลิตไทยผลิตเพื่อส่งออกและขายในประเทศ จนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยเฟื่องฟูต่อเนื่อง นับตั้งแต่มีนโยบายพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ดบูมสุดขีด แต่สงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ยืดเยื้อนานและนับวันจะจบยาก กำลังเขย่าฐานการผลิตยานยนต์ไทยสะเทือนและเสียหลักได้
สัญญาณเตือนเริ่มปรากฏมาเป็นระยะ และยิ่งเห็นชัดเจนขึ้น เริ่มจากที่ค่ายรถยนต์ “มิตซูบิชิ” ปฎิบัติการภายใน ประกาศโครงการเออรี่ รีไทล์ โดยออกประกาศตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2562 ให้พนักงาน ที่สนใจเข้าโครงการ ยื่นเจตจำนงเข้ามาภายในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ค่ายนี้มีโรงงาน 2 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมโซนภาคตะวันออก มีพนักงานกว่า 1,400 คน
ดูจากรายละเอียดตามประกาศแบ่งการเออรี่ รีไทล์ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก พิจารณาจากอายุงาน และพิจารณาจากอายุพนักงาน ได้รับชดเชยน่าจูงใจตั้งแต่เงินชดเชย 16.5 เดือน ไปจนถึง 27.34 เดือน รีบปรับตัวรับมือหลังจากที่การส่งออกรถปิกอัพเริ่มชะลอตัว สงครามการค้าจีนอเมริกาส่งผลให้รถปิกอัพขนาด 1 ตันของมิตซูบิชิไปยังตลาดยุโรปชะลอตัว
ตามมาติดๆเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือ จีเอ็ม ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ซึ่งมีปัญหาต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี ส่งผลทำให้ยอดขายไม่ได้ตามเป้า มีต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น การผลิตบางส่วนจำต้องย้ายไปประกอบที่เวียดนามแทน ในขณะที่โรงงานในไทยค่อยๆลดบทบาทลง กระทั่งมาสู่การเดินแผนลดคนงานในสายการผลิตที่โรงงานจังหวัดระยอง ประกาศเลิกจ้างพนักงานประจำและพนักงานชั่วคราวกว่า 300 คน ล่าสุดจีเอ็มรีบออกมาชี้แจงตามแถลงการณ์ว่ายังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไป ส่วนการปรับลดคนนั้นเป็นการปรับองค์กรให้เหมาะสมกับสภาพตลาดในปัจจุบันและยังคงเดินหน้าการทำตลาดในประเทศเช่นเดิม
ไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศนำอย่าง“โตโยต้า”ก็มีเสียงแว่วว่าภาพรวมส่งออกไปตลาดเม็กซิโกหายวับไปกับตานับหมื่นคันด้วยพิษเทรดวอร์
-เทรดวอร์ทุบดีมานด์โลกปั่นป่วน
คงต้องรับสภาพไปทุกค่าย เพราะปัจจุบันฐานการผลิตยานยนต์ในประเทศไทยส่วนใหญ่พึ่งพาตลาดส่งออกมากกว่าขายภายในประเทศ เชื่อว่าโค้งท้ายปีนี้กำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศที่ตั้งเป้าไว้ว่าทั้งปี 2562 จะมีกำลังการผลิตรวมที่ 2.15 ล้านคัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 1.05 ล้านคัน และส่งออก 1.10 ล้านคันนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะตัวเลขส่งออก หากยังต้องรับแรงกระแทกจากเทรดวอร์ต่อไปแบบนี้ เพราะไม่เพียงแต่กระทบฐานที่มั่นการผลิตยานยนต์ของไทย แต่การที่ 2 ประเทศมหาอำนาจออกมาระเบิดศึกกันแบบนี้ ได้ทุบดีมานด์โลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ปั่นป่วนแล้ว
ล่าสุดผู้ผลิตรายใหญ่อย่างจีนที่มีขนาดกำลังผลิตยานยนต์รวมต่อปี 25 ล้านคัน เมื่อโฟกัสเฉพาะครึ่งปีแรกยอดการผลิตรวมร่วงลงแล้ว 12% เช่นเดียวกับอินเดียที่มียอดการผลิต 5 ล้านคันต่อปี ครึ่งปีแรกยอดการผลิตร่วงลงแล้วราว 20%
ไทยและโลกต้องยืนอยู่บนความเสี่ยง หลายอุตสาหกรรมยังต้องลุ้นว่าโค้งสุดท้ายปี 2562 นี้ ภาพรวมสินค้าส่งออกสำคัญของไทยจะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ปี 2561 ส่งออกรวมกัน มีมูลค่า 2,008,948 ล้านบาท ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ มีมูลค่าส่งออกรวมกันอยู่ที่ 927,501 ล้านบาท ทั้ง 2กลุ่มจะรักษาระดับเดิมไว้ได้หรือไม่! หรือว่าจะเซ จนเสียหลักยังต้องจับตาต่อไป!
คอลัมน์ : Let Me Think
โดย : TATA007