สมาคม ร.พ.เอกชน ชี้! คุมค่ายา คุมกำเนิดการลงทุนเทคโนโลยี ร.พ.
สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแจงคนไทยเข้าถึงสิทธิ์การรักษาพยาบาล ขณะที่ ร.พ.เอกชน เป็นทางเลือก ชี้! คุมค่ายาและบริการทางการแพทย์ ส่งผลให้ไม่มีการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำศักยภาพไทยด้อย
หลังจากที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติให้เพิ่มสินค้าควบคุม 1 รายการ คือ ยาและเวชภัณฑ์ และเพิ่มบริการควบุม 1 รายการ คือ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่น ๆ ของสถานพยาบาลนั้น ล่าสุด นายแพทย์พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้ออกมาชี้แจงร่วมกับคณะกรรมการสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ว่า เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชนนั้น
ค่ายาในโรงพยาบาลเอกชนประกอบไปด้วยรายละเอียดมากมาย ไม่ใช่เฉพาะเพียงตัวยาอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลและประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ขณะเดียวกันจะพบว่า คนไทยทุกคนสามารถรับการรักษาพยาบาลตามสิทธิ์ของตนเอง ทั้งหลักประกันสุขภาพ สิทธิ์ประกันสังคม และสิทธิ์ข้าราชการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยพบว่า โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน 64.8% เข้าร่วมโครงการประกันสุขภาพ ส่วน 35.2% ไม่ได้เข้าร่วม นอกจากนี้ ในภาวะฉุกเฉินวิกฤต ประเทศไทยมีกฏหมาย UCEP ที่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ภายในไม่เกิน 72 ชม. อย่างไรก็ดี โรงพยาบาลเอกชนถือเป็นโรงพยาบาลทางเลือก สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการรักษา
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารับบริการในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนรวม 4.23 ล้านราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยนอกชาวต่างประเทศ 35.6% และผู้ป่วยในชาวต่างประเทศ 4.4% โดยในปี 2559 พบว่า โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนดำเนินกิจการ มีมูลค่า 99,427 ล้านบาท การที่นโยบายผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ทำให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามารับการรักษาในไทยมากขึ้น โดยมีรายงานถึงเหตุผลที่ชาวต่างประเทศเข้ามารักษา มาจากราคาค่ารักษาพยาบาลไม่แพง 46.4% บุคลากรทางการแพทย์เป็นมิตรกับผู้ป่วย 37.5% ความสามารถของแพทยไทย 34.6% แพทย์ไทยมีความเชี่ยวชาญหลายด้าน 27.4% และเทคโนโลยีที่ทันสมัย 24.5%
นายแพทย์พงษ์พัฒน์ กล่าวอีกว่า หากมีการกำกับค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนจะทำให้ไม่มีการลงทุนในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัย และจะทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยด้อยลง
หลังจากที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติให้เพิ่มสินค้าควบคุม 1 รายการ คือ ยาและเวชภัณฑ์ และเพิ่มบริการควบุม 1 รายการ คือ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่น ๆ ของสถานพยาบาลนั้น ล่าสุด นายแพทย์พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้ออกมาชี้แจงร่วมกับคณะกรรมการสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ว่า เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชนนั้น
ค่ายาในโรงพยาบาลเอกชนประกอบไปด้วยรายละเอียดมากมาย ไม่ใช่เฉพาะเพียงตัวยาอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลและประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ขณะเดียวกันจะพบว่า คนไทยทุกคนสามารถรับการรักษาพยาบาลตามสิทธิ์ของตนเอง ทั้งหลักประกันสุขภาพ สิทธิ์ประกันสังคม และสิทธิ์ข้าราชการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยพบว่า โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน 64.8% เข้าร่วมโครงการประกันสุขภาพ ส่วน 35.2% ไม่ได้เข้าร่วม นอกจากนี้ ในภาวะฉุกเฉินวิกฤต ประเทศไทยมีกฏหมาย UCEP ที่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ภายในไม่เกิน 72 ชม. อย่างไรก็ดี โรงพยาบาลเอกชนถือเป็นโรงพยาบาลทางเลือก สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการรักษา
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารับบริการในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนรวม 4.23 ล้านราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยนอกชาวต่างประเทศ 35.6% และผู้ป่วยในชาวต่างประเทศ 4.4% โดยในปี 2559 พบว่า โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนดำเนินกิจการ มีมูลค่า 99,427 ล้านบาท การที่นโยบายผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ทำให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามารับการรักษาในไทยมากขึ้น โดยมีรายงานถึงเหตุผลที่ชาวต่างประเทศเข้ามารักษา มาจากราคาค่ารักษาพยาบาลไม่แพง 46.4% บุคลากรทางการแพทย์เป็นมิตรกับผู้ป่วย 37.5% ความสามารถของแพทยไทย 34.6% แพทย์ไทยมีความเชี่ยวชาญหลายด้าน 27.4% และเทคโนโลยีที่ทันสมัย 24.5%
นายแพทย์พงษ์พัฒน์ กล่าวอีกว่า หากมีการกำกับค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนจะทำให้ไม่มีการลงทุนในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทันสมัย และจะทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยด้อยลง
