ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)รายงานผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี ระหว่างปี 2551-2560 พบว่า
การลงทุนในหุ้นระยะยาวให้ผลตอบแทนลงทุนสูงกว่าประเภทอื่น โดยพบว่า หุ้นให้ผลตอบแทนถึง 11.61% ขณะที่ผลตอบแทนจากพันธบัตร 5.15% ทองคำ 4.5% และเงินฝากประจำ 1 ปี ให้ผลตอบแทน 1.73%
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้น แม้จะให้อัตราผลตอบแทนที่สูง แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน โดยเฉพาะปัจจุบันที่การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังได้รับแรงกดดันจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ดูเหมือนปะทุขึ้นและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มองหาทางเลือกที่ปลอดภัย แม้อัตราผลตอบแทนจะลดลงบ้าง ซึ่งทางเลือกหนึ่งที่น่าสนคือ การลงทุนในกองทุนที่มีมืออาชีพเป็นผู้บริหารจัดการแทน แต่ก็ต้องขึ้นกับประเภทของกองทุนด้วย อย่างที่กำลังได้รับความนิยมมากในช่วงนี้ น่าจะเป็นกองทุนผสม กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)
อีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปี 2558 คือ Global HealthCare ที่มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)เปิดกองทุนใหม่ถึง 12 กองทุน และข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561พบว่าในไทยมีกองทุนประเภทนี้ถึง 22กองทุน มีทรัพย์สินสุทธิรวม 38,929 ล้านบาท แต่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านสุขภาพจากต่างประเทศ ทำให้ผลตอบแทนลดลงและบลจ.เองก็ชะลอออกกองทุนไป มีเปิดใหม่เพียง 1 กองทุนเท่านั้นในปีนี้
ทั้งนี้เนื่องจากหลายประเทศในเอเชียกำลังเผชิญกับภาวะสังคมผู้สูงอายุ โดยข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า ในปี 2593 หรืออีก 32 ปีข้างหน้า 80% ของประชากรโลกกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี จะเป็นกลุ่มที่อยู่ในประเทศด้อยพัฒนา ขณะที่ไทยเองเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยข้อมูลของกรมการปกครองเมื่อสิ้นปี 2560 ประชากรไทยอายุมากกว่า 60 ปี มี 15% ของประชากรทั้งหมด
“ธีรนาถ รุจิเมธาภาส” กรรมการอำนวยการบลจ.ทิสโก้ฯ กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า Global Health Care เคยได้รับความนิยมช่วง 3 ปีก่อน อาจจะเพราะให้ผลตอบแทนจูงใจ ซึ่งก็เหมือนๆ กับหุ้นเทคโน ที่เป็นที่นิยม มีการไล่ราคาขึ้นไปจนสูง แต่ช่วงหลัง ความนิยมลดลง เพราะช่วงที่มีการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี อย่างนางฮิลลารี คลินตัน มีนโยบายที่จะควบคุมราคาบริษัทยา ทำให้หุ้นตก และค่าพี/อีที่เคยสูงก็ตกลงมาเยอะ ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าไปลงทุนพักหนึ่ง ราคาจึงตกลงมา แต่ปีที่แล้วราคาเริ่มดี และปีนี้ก็ดีขึ้นแล้ว ดังนั้นการลงทุนในกองทุน Global Health Care ยังมีอนาคตดี
“ใจผม มองว่ากองทุนประเภทนี้เหมาะกับการลงทุนระยะยาว เพราะแนวโน้มของโลกเองกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพราะเราฝากความหวังไว้กับนวัตกรรมใหม่ๆ ในอดีตอาจจะเป็นการลงทุนในกิจการบริการด้านสุขภาพ ไม่มีนวัตกรรม อาจจะมีชื่อเสียงของหมอดีๆ แต่ Global health care ขณะนี้จะมีมากกว่านั้น เป็นการลงทุนไปถึงไบโอเทค เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยขึ้น ปลูกถ่ายอวัยวะ สามารถไปลงทุนได้มากกว่า จากที่เคยบูมและเชื่อว่า จะบูมได้อีก”
อย่างไรก็ตาม ต้องดูราคาที่จะเข้าไปลงทุน แต่ในดัชนีหุ้น S&P500 ค่าพี/อีเคยสูง 20 เท่า แต่ Global Health Care ไล่ซื้อกันที่พี/อี 40 เท่า แต่พอมีข่าวความไม่แน่นอนด้านนโยบายสุขภาพของสหรัฐอเมริกา ทำให้ขณะนี้ซื้อขายตํ่ากว่าพี/อีของเอสแอนด์พี ซึ่งหากซื้อช่วงนี้ก็จะได้ราคาที่ถูกกว่า และขณะนี้ราคาก็เริ่มขึ้นแล้ว เพราะความกลัวของนักลงทุนได้รับรู้ และสะท้อนไปที่ราคาแล้ว ซึ่งหุ้นอาจจะมีอะไรที่เป็นข่าวร้าย แต่เมื่อรับข่าวไปแล้ว จะเป็นโอกาสเข้าไปลงทุน
ด้าน “เกษตร ชัยวันเพ็ญ” รองกรรมการผู้จัดการบลจ.กสิกร ไทยฯ กล่าวว่า ต้องดูแนวคิดของนโยบายสุขภาพต่างประเทศด้วยว่าเป็นอย่างไร แต่ในระยะยาวเชื่อว่าแนวโน้มยังดี เนื่องจากโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่ปัจจัยระยะสั้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายด้านสุขภาพ ก็จะมีผล กระทบบ้าง แต่เนื่องจากกองทุน Global Health Care เป็นการลงทุนระยะยาว หากจำเป็นต้องใช้เงิน หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ก็อาจจะกระจายเงินบางส่วนออกมาได้ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มี ก็อาจจะถือเป็นจังหวะที่จะเข้ามาลงทุนได้ เพราะเป็นช่วงที่ราคาลง
“เราต้องแยกระหว่างคนที่มีกับคนที่ยังไม่มี คนที่มี ถ้าคุณคิดว่า ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ก็สามารถถือต่อไปได้ แต่ถ้ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ก็อาจจะขายบางส่วนออกมา แต่ถ้าคนไม่มี และเชื่อว่าสังคมผู้สูงอายุกำลังมา ก็จะได้ราคาที่ถูกกว่าคนอื่นๆที่เข้าไปลงทุนก่อนหน้านั้น”
รายงาน : โต๊ะข่าวกองทุน
หน้า 19 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,392 วันที่ 16-18 ส.ค. 2561