ไม่ต้องรีบซื้อแบงก์ รอย่อหลังแจ้งกำไรไตรมาส1 พลังงานทดแทนแพง

12 ม.ค. 2561 | 03:54 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

นักลงทุนรายย่อยกลัวความสูง ขายหุ้นทำกำไร มาร์เก็ตติ้งเตือนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางตัวแพงแซงพื้นฐาน ปตท.ยังตํ่ากว่ามูลค่าเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ชี้เป้า 500 บาท

ตลาดหุ้นไทยร้อนแรงตั้งแต่วันทำการแรกของปี 2561 ดัชนีหุ้นวันที่ 3 มกราคม 2561 ทะยานขึ้นแรง มาปิดที่ 1,778.53 จุด สร้างประวัติศาสตร์ปิดเหนือดัชนีปิดสูงสุดตลอดกาล(All time High) ที่ 1,778.53 จุด เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2537 จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศอย่างหนัก กลุ่มละกว่า 2,000 ล้านบาท แต่นักลงทุนคนไทย กลับขายสูงกว่า 4,571.71 ล้านบาทและขายต่อเนื่องอีกกว่า 1,000 ล้านบาทในวันรุ่งขึ้น เพื่อต้องการเก็บกำไรกอดเงินสดไว้ก่อนดีกว่า หลังจากเห็นราคาหุ้นหลายตัว ขึ้นมาสูงสุดตลอดกาลอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะซื้อขายกันที่ราคาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ คาดการณ์มูลค่าเหมาะสมเฉลี่ย(IAA Consensus) ก็ตาม

MP17-3329-A เจ้าหน้าที่การตลาดกล่าวว่า นักลงทุนไทย โดยเฉพาะรายย่อย ขายหุ้นออกไปแล้ว เกิดความรู้สึกเสียดาย เมื่อเห็นราคาหุ้นยังคงปรับตัวขึ้นแรง ตามภาวะตลาด ขอแนะนำว่าอย่ารีบเข้าไปซื้อกลับ เนื่องจากราคาหุ้นหลายตัวสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานและสูงกว่ามูลค่าเหมาะสมเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ราคา 132 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะบริษัทที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าทดแทน เช่น บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ที่คาดการณ์ที่เฉลี่ย 30 บาท แต่กลับมีแรงไล่ซื้อให้ขึ้นมาเหนือ 31 บาท หลังจากมีข่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)บัวหลวง จำกัด ได้มาหุ้นจำนวน 0.39% เพิ่มการถือหุ้นเป็น 5.25% เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560 ส่วนบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ก็มีแรงเก็งกำไรหุ้นขึ้นมาแตะ 70 บาท สูงกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าเหมาะสม ของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แลนด์แอนด์ เฮ้าส์ฯ ที่ให้ไว้ที่ 56.40 บาท

ขณะที่หุ้นพลังงาน นำโดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ราคาหุ้นวิ่งแรงและเร็ว ขึ้นมาสูงสุดตลอดกาล นับตั้งแต่หุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปลายปี 2544 ที่ระดับ 474 บาท แต่ยังคงตํ่ากว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เฉลี่ยที่ 500 บาท และยังคงแนะนำให้ถือต่อไป เนื่องจากได้รับประโยชน์จากราคานํ้ามันดิบล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นและบริษัทในเครือมีผลกำไรที่ดี และราคายังคงปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง เช่น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์ให้เป้าหมายเฉลี่ย 7.70 บาท

บาร์ไลน์ฐาน นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นธนาคารพาณิชย์จะมีความโดดเด่นมาก เนื่องจากธุรกิจได้ผ่านจุดตํ่าสุดมาแล้ว แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันก็ซื้อขายใกล้เคียงกับมูลค่าที่เหมาะสมแล้ว จึงเหลือกำไรอีกไม่มากนัก การลงทุนช่วงสั้นๆ ขอแนะนำให้รอซื้อ เมื่อข่าวเรื่องกำไรสุทธิไตรมาส 4/2560 ออกมาก่อนจะดีกว่า เนื่องจากราคาหุ้นจะอ่อนตัวลงเมื่อข่าวออกมา (Sale on fact)

ส่วนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ PACE ทั้งหมด 1,500 ล้านหุ้น ซื้อหุ้นครั้งแรกจำนวน 400 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.51 บาท เป็นเงินประมาณ 204 ล้านบาทแล้วราคาหุ้นไม่ปรับขึ้นเหมือนหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ตัวอื่นๆ นางสาว อุษณีย์ กล่าวว่า การลงทุนไม่มีนัยสำคัญ เมื่อพิจารณาเม็ดเงินลงทุนต่อมูลค่าสินทรัพย์โดยรวม และยังคงยืนยันเป้าหมายหรือมูลค่าเหมาะสมที่ 174 บาทเท่าตัว และแม้ว่าจะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ PACE ก็ไม่น่ากังวล เมื่อเปรียบเทียบกับพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,329 วันที่ 7 - 10 มกราคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9