ปาร์คทูโก บุกตลาดอินโดนีเซีย

09 มิ.ย. 2560 | 23:00 น.
ธุรกิจที่จอดรถอัตโนมัติยังแรงปาร์คพลัส เตรียมนำแบรนด์สตาร์ตอัพปาร์คทูโก ลุยอินโดนีเซีย ด้านตลาดในประเทศชูระบบโรโบติกซิสเต็ม ราคาติดตั้ง 3 แสนบาท เน้นเร็ว-รองรับรถหนักได้ถึง 3 ตัน มั่นใจยอดขายปีนี้ทะลุ1,000 ล้านบาท

นายอภิราม สีตกะลิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปาร์คพลัส จำกัดตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของอุปกรณ์ และเครื่องจอดรถอัตโนมัติภายใต้แบรนด์ XIZI-IUK จากจีน, DYPCจากเกาหลี, IHI จากญี่ปุ่น ,OMER จากอิตาลี รวมไปถึงผู้ให้บริการที่จอดรถโมเดลใหม่ ภายใต้แบรนด์ ปาร์คทูโก(Park 2 Go) เปิดเผยว่าหลังจากเปิดตัวธุรกิจสตาร์ตอัพ ปาร์คทูโก ในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 4 แห่งได้แก่ กรุงเทพฯ 2 แห่ง ซึ่งบริษัทบริหารเอง และอีก 2 สาขาคือ เชียงใหม่ และภูเก็ต บริหารผ่านแฟรนไชส์

[caption id="attachment_157970" align="aligncenter" width="336"] อภิราม สีตกะลิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปาร์คพลัส จำกัด อภิราม สีตกะลิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปาร์คพลัส จำกัด[/caption]

ขณะที่แผนงานในปีนี้ จะเข้าไปยังประเทศอินโดนีเซีย เพราะมีปริมาณรถจำนวนมาก โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการหาพาร์ตเนอร์ และรูปแบบธุรกิจจะยังคงเป็นลักษณะการขายแฟรนไชส์

“เราขายแฟรนไชส์ปาร์คทูโกโดยมีรูปแบบการให้บริการครบวงจร ทั้งแอพพลิเคชัน,เครื่องจอดรถ, ระบบประกันภัย,การอำนวยความสะดวกจากสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีผู้สนใจเป็นจำนวนมากแต่หลังจากเปิดดำเนินการไประยะหนึ่งเราห่วงเรื่องคุณภาพการให้บริการ เพราะเรากลัวว่าจะควบคุมยาก ดังนั้นแผนงานในประเทศตอนนี้จึงขอหยุดก่อนแต่สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น เรามองว่า จำนวนรถที่มีมาก ประกอบกับการหาพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง น่าจะทำธุรกิจของเราไปได้”

นายอภิราม กล่าวเพิ่มเติมว่าด้านแผนงานของปาร์คพลัส ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าหลักคือบ้าน 40% , คอนโดมิเนียม40% และอื่นๆ 20% โดยอุปกรณ์ที่จอดรถที่ได้รับความนิยมจะเป็นแบรนด์จากเกาหลี เนื่องจากราคาอยู่ระดับกลางๆไม่ถูกไม่แพง นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบโรโบติกซิสเต็ม ที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นจากกลุ่มลูกค้า เพราะมีราคา 3 แสนบาท สามารถติดตั้งได้รวดเร็ว ค่าก่อสร้างจะถูกกว่าระบบอื่นๆ และสามารถยกรถหนักถึง 3 ตันได้ ยกได้ทั้ง โรลส์-รอยซ์ หรือแฮมเมอร์โดยปัจจุบันมีลูกค้าคอนโดมิเนียมกว่า 3 -4 โครงการให้ความสนใจและติดตั้งแล้ว

โดยบริษัทคาดว่ารายได้ในปีนี้จะทะลุ 1,000 บาท เติบโตกว่าปีที่แล้วที่ทำได้ 500 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,268 วันที่ 8 - 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560