*** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,107 ระหว่างวันที่ 22-25 มิ.ย. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** กระแสความตื่นเต้นต่อแผนการผลักดันให้ “ประเทศไทย” เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับโลก FIA Formula One World Championship หรือ “ฟอร์มูล่าวัน (F1)” เริ่มต้นขึ้นหลังมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทย (ใช้พื้นที่กรุงเทพมหานคร) เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ระหว่างปี 2571–2575 รวมระยะเวลา 5 ปี ภายใต้งบประมาณรวมสูงถึง 41,379 ล้านบาท
แม้โครงการนี้จะถูกขับเคลื่อนด้วยความหวังจะสร้าง Soft Power และปลุกกระแส “กีฬาเชิงเศรษฐกิจ” (Sports Tourism) ให้เป็นกลไกสำคัญกระตุ้นอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ก็ไม่อาจมองข้ามข้อท้วงติงที่สำคัญจากหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ที่ระบุชัดเจนว่า โครงการนี้ “เสี่ยงขาดทุนและภาระการคลังรุนแรง” หากรัฐลงทุนเต็ม 100% ตามโมเดลที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ตามรายงานการพิจารณาของ สลค. พบว่า โครงการจัดการแข่งขัน F1 ในประเทศไทย ตามกรอบวงเงิน 4.1 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มที่จะก่อหนี้ผูกพันระยะยาว และอาจกลายเป็น “ภาระการคลังขนาดใหญ่” โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญข้อจำกัดด้านงบประมาณ และมีภารกิจจำเป็นอื่นๆ ที่รอการจัดสรรงบอยู่แล้วจำนวนมาก
ที่สำคัญ รายงานการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ที่แนบมากับแผนเสนอโครงการ ได้ระบุว่า ทุกรูปแบบการประเมินรายได้-ค่าใช้จ่ายทั้ง 3 กรณี ได้แก่ กรณีฐาน (Base Case) ขาดทุน 9,788 ล้านบาท, กรณีดีที่สุด (Optimistic) ขาดทุน 6,824 ล้านบาท กรณีเลวร้าย (Pessimistic) ขาดทุน 10,752 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้หมายความว่า ไม่มีสถานการณ์ใดที่รัฐจะได้กำไรจากการจัดงาน หากลงทุนด้วยตนเองทั้งหมด และยังไม่มีแผนเชิงปฏิบัติที่ชัดเจน ในการดึงภาคเอกชน มาร่วมแบกรับความเสี่ยง
*** โครงการ F1 ไม่เพียงมีค่าใช้จ่ายด้าน “ค่าธรรมเนียมการจัดการแข่งขัน” ที่สูงลิ่วระดับหลายพันล้านบาทต่อปี แต่ยังรวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามแข่ง ระบบขนส่ง, การจัดการความปลอดภัย สาธารณูปโภค, ค่าบริหารจัดการระหว่างการแข่งขันทั้ง 5 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้ รัฐเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงเพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่ความไม่แน่นอนของรายได้จากตั๋ว การท่องเที่ยว การลงทุนของเอกชน และการสนับสนุนจากผู้ถือสิทธิ์ F1 ยังอยู่ในระดับ “ไม่แน่นอน”
ดังนั้น สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จึงเสนอว่า ควรมีการทบทวนแนวทางการดำเนินงานใหม่ โดยเน้นการสร้างกลไกภาคีความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน (PPP) ลดภาระงบประมาณของภาครัฐ และเน้นย้ำให้ดำเนินโครงการตาม มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดว่า โครงการที่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังต้องคำนึงถึง 1.ความคุ้มค่าในระยะยาว 2. ผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ 3.ความมั่นคงและยั่งยืนทางการคลัง อีกทั้ง ควรให้ความสำคัญกับผลกระทบจากโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ผังเมือง การจราจร สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่จัดการแข่งขัน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และปัญหาจราจรอยู่แล้ว
*** แม้มติ ครม. จะระบุว่า “หากได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน” รัฐสามารถลดภาระงบประมาณลง และในกรณีที่มีงบเหลือสามารถนำส่งคืนตามระเบียบกฎหมาย แต่ก็ยังไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจนในทางปฏิบัติ จนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่า มีเอกชนรายใด หรือ กลุ่มทุนใหญ่ในประเทศ แสดงความสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุน หรือ เจรจากับรัฐเพื่อขอสิทธิในโครงการดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
ประเทศไทยไม่ใช่ชาติแรกที่ตั้งเป้าเจ้าภาพ F1 ด้วยความหวังด้านการท่องเที่ยวและการสร้างแบรนด์ประเทศ แต่หลายเมืองทั่วโลกที่เคยลงทุนก็เผชิญปัญหาการขาดทุนต่อเนื่อง เช่น เกาหลีใต้ อินเดีย และ เวียดนาม ซึ่งถอนตัวจากการเป็นเจ้าภาพหลังจัดได้เพียงไม่กี่ปี
...สำหรับไทย หากรัฐยังคงเดินหน้าด้วย “โมเดลรัฐลงทุนเต็มรูปแบบ” โดยไม่มีการออกแบบ “กลไกร่วมทุนที่ยืดหยุ่น” หรือ กลไกลดความเสี่ยงภาครัฐ อย่างรอบด้าน F1 อาจไม่ได้กลายเป็นจุดขายใหม่ของประเทศไทย แต่กลายเป็น “งูเห่าการคลัง” ตัวใหม่ ที่กัดงบประมาณซ้ำเติมฐานะการเงินของรัฐในช่วงเปราะบางเช่นนี้
***ปิดท้าย... เปิดรับสมัครรุ่น 2 แล้ว สำหรับ Leadership Wisdom Bootcamp โปรแกรมผู้บริหาร 7 สัปดาห์ ที่รวบรวมผู้นำและผู้เชี่ยวชาญระดับ Top ของประเทศ มุ่งเน้นให้ผู้นำมีทักษะ และมีวิสัยทัศน์ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรและสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า จัดโดย สมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ทางเว็บไซต์ https://landing.skooldio.com/leadership-wisdom