3 กูรูแนะรัฐ ‘ยาแรงเศรษฐกิจ’ ต้องแม่น ใช้งบปี 69 คุ้มค่า ดึงเงินร้อนเป็นเงินเย็น แก้บาทแข็ง

19 ก.ย. 2568 | 22:35 น.

กำลังเป็นที่จับตาถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศว่าจะมี “ยาแรง” อะไรเป็นเครื่องมือในการปลุกเศรษฐกิจ ถือเป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นด้านต่างๆโดยเร็ว ในระยะเวลาที่จำกัด

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงจุด เช่น เร่งการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และการทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อเพื่อปลุกกำลังซื้อ
  • เน้นย้ำความสำคัญของการใช้งบประมาณปี 2569 อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาวินัยทางการคลังและป้องกันความเสี่ยงจากการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ
  • เสนอแนวทางแก้ปัญหาเงินบาทแข็ง โดยออกมาตรการเปลี่ยน "เงินร้อน" ที่เข้ามาพักระยะสั้นให้เป็นการลงทุนระยะยาว (เงินเย็น) เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ล่าสุด“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษนักวิชาการเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และบิ๊กเอกชนถึงมุมมองเครื่องมือและโอกาสในการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความกังวลในปี 2569 ที่กำลังใกล้เข้ามา

ใช้งบฯปี 69 ต้องมีประสิทธิภาพ

เริ่มจาก รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเมือง  ที่กล่าวว่า สิ่งที่จะต้องทำในระยะเวลา 4 เดือนนับจากนี้คือ รัฐบาลต้องเร่งใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีงบประมาณรายจ่ายเพิ่มจากปีที่แล้วไม่มากหรือเพิ่มขึ้นมาราว 27,000 กว่าล้านบาท แสดงให้เห็นว่างบเพิ่มในขอบเขตที่จำกัด เรามีหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณที่สูงสุดในรอบ 20 ปีสูง

3 กูรูแนะรัฐ ‘ยาแรงเศรษฐกิจ’ ต้องแม่น ใช้งบปี 69 คุ้มค่า ดึงเงินร้อนเป็นเงินเย็น แก้บาทแข็ง

“4 เดือนของรัฐบาลนี้ต้องเร่งกระตุ้นใช้งบประมาณให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายโดยลำดับความสำคัญให้ดี คำนึงถึงกรอบวินัยทางการเงินการคลัง เช่นใช้ในโครงการ “คนละครึ่ง” และต้องนำไปบริหารผลกระทบที่เกิดจากภาษีทรัมป์ด้วย รวมถึงการเร่งใช้งบประมาณทั้งงบประจำและงบลงทุน”

ในแง่โอกาสที่มองเห็นในช่วง 3-4 เดือนนี้ มองว่าการส่งออกน่าจะยังขยายตัวได้ จากช่วง 7 เดือนแรกยังขยายตัวได้ดี โดยเติบโตได้ระดับ 14-15%ถือว่าสูงมาก หากสามารถขยายการส่งออกสินค้าไปประเทศต่าง ๆ ได้มากขึ้นก็จะช่วยได้อีก เช่นเดียวกับโอกาสด้านการลงทุน ต่างชาติเข้ามาแล้วแค่เราเข้าไปเร่งให้เกิดการลงทุนให้เร็วขึ้น

กังวล 2 เรื่องหลักกระทบประเทศ

ส่วนปี 2569 สิ่งที่น่ากังวล มองไว้ 2 เรื่องใหญ่คือ 1.หวั่นว่าจะใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพและจะไปกระทบกรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งถ้าใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพไทยอาจถูกปรับลดเครดิต จากมูดี้ส์ เพราะไทยอยู่ในช่วงหน้าผาด้านการคลัง 2.เรื่องการบริหารผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน เศรษฐกิจของอเมริกาอาจมีปัญหาได้ เช่นเงินเฟ้อ ตลาดอ่อนแอ และคนไม่ไว้ใจค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นต้องประเมินสถานการณ์โลกให้ดีและเตรียมรับมือกับการผันผวนเหล่านี้ให้ดี

หาวิธีดึงเงินนอกอยู่ไทยยาว

สอดคล้องกับ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ มองว่ายาแรงเรื่องกระตุ้นดีมานด์ที่ทำได้ระดับหนึ่งเช่น โครงการคนละครึ่ง แต่โดยส่วนตัวอยากให้ไปดูเรื่องค่าเงินบาท การที่เงินบาทแข็งค่า แสดงว่ามีเงินนอกเข้ามาพักในเมืองไทย เพราะเห็นว่าไม่เสี่ยงและปลอดภัยดี  แต่เรากำลังไปกลัวว่าเข้ามามากเงินบาทจะแข็ง

“ผมคิดว่าเงินที่เข้ามาควรไปคิดสูตรว่าจะทำอย่างไรให้เงินนอกที่เข้ามาอยู่ในไทยได้นานๆให้เป็นเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเขา ไม่ให้ไหลเข้ามาแค่ในระยะสั้นๆ อย่างกรณีเข้ามาลงทุน FDI หรือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมนั้นถือว่าดี เพราะเป็นการลงทุนระยะยาว”

3 กูรูแนะรัฐ ‘ยาแรงเศรษฐกิจ’ ต้องแม่น ใช้งบปี 69 คุ้มค่า ดึงเงินร้อนเป็นเงินเย็น แก้บาทแข็ง

นอกจากนี้ยังมองว่าการที่ต่างชาติเข้ามาเล่นหุ้นในไทย เงินในประเทศก็จะมากขึ้น เมื่อตลาดหุ้นมีเงินมากก็จะไปลงทุนในภาคอสังหาฯต่อ ดังนั้นตลาดหุ้นกับอสังหาฯจะคู่กัน เกิดอำนาจซื้อ การบริโภคก็จะมากขึ้น ดังนั้นเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาในเวลานี้ต้องอยู่ให้ยาว โดยรัฐบาลต้องเปลี่ยนเงินร้อนให้เป็นเงินเย็น พักให้นานๆ ไม่ใช่เป็นแค่ศาลาพักร้อน ดังนั้นในช่วงสั้นๆ 4-5 เดือนนี้ ถ้าทำได้จะเกิดผลมากกว่ามาตรการคนละครึ่งแน่นอน ดังนั้นตลาดเงินตลาดทุนต้องไปจัดระเบียบใหม่

สำหรับโอกาสในช่วง 3-4 เดือนนี้ ยังต้องลุ้นข่าวดีว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาจะแพ้ในศาลสูงสุด กรณีบังคับใช้มาตรการภาษีกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐเกือบทุกประเทศ ถ้าแพ้ก็จะได้ทำให้การค้าโลกกลับสู่ภาวะปกติ แต่ถ้าทรัมป์ชนะจะลากเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลกจากเพดานภาษีส่งออกไปอเมริกาสูง การค้าระหว่างประเทศเกิดความชุลมุนจากซัพพลายเชนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบมากขึ้นในปี 2569

แบงก์ต้องปล่อยกู้-เรียกกำลังซื้อ

ด้านนางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA Group) กล่าวว่า 3 เดือนสุดท้ายของปีรัฐบาลจะต้องใช้ยาแรง คือ ปลุกกำลังซื้อของคนให้ได้ แต่จะปลุกได้เรื่องเร่งด่วนที่ต้องลงมาดูก่อนคือ ทำอย่างไรให้แบงก์ปล่อยเงินกู้ เพราะในระบบคนสายป่านสั้นมากขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องลงมาดูตรงนี้

3 กูรูแนะรัฐ ‘ยาแรงเศรษฐกิจ’ ต้องแม่น ใช้งบปี 69 คุ้มค่า ดึงเงินร้อนเป็นเงินเย็น แก้บาทแข็ง

ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมายอดขายรถปิกอัพร่วง คนซื้อมี แต่กู้ไม่ผ่าน อย่าลืมว่าคนไทยซื้อรถปิกอัพเพื่อนำไปทำมาหากิน ขณะที่แบงก์ก็ไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกลัวหนี้เสีย ซึ่งต้องทำให้แบงก์มั่นใจว่าไม่เป็นหนี้เสียเพื่อทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ กำลังซื้อจะกลับมาได้ ก็ต้องปล่อยเงินในระบบให้ได้ก่อน

ด้านท่องเที่ยวที่ผ่านมามีข่าวเรื่องความไม่ปลอดภัยจากสื่อของจีน และมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีจากนักท่องเที่ยวมาถึงสนามบินแล้วมีค่าใช้จ่ายหลายด้าน ปัญหาเหล่านี้ต้องรีบแก้ไข ส่วนการลงทุน FDI ที่ดีอยู่แล้วก็ต้องต่อยอดทำอย่างไรให้เติบโตต่อเนื่อง อะไรที่เป็นปัญหาก็รีบแก้ไขด่วน

สำหรับปี 2569 ยอมรับว่ายังมีความกังวลเรื่องการเมืองภายในประเทศ ในแง่นักธุรกิจก็อยากเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องการนายกรัฐมนตรีที่มีภาวะผู้นำช่วยขับเคลื่อน และสามารถจัดการกับปัญหาคอรัปชั่นได้เด็ดขาด

 “ประเทศไทยยังมีความหวัง และการมีความหวังนี้จะเป็นจุดสำคัญที่นำพาประเทศไปสู่อนาคตได้ ยอมรับว่ารัฐมนตรีคนนอกที่ตั้งขึ้นมาครั้งนี้ถูกใจและเชื่อว่าทุกท่านจะช่วยประเทศไทยได้มาก"