อินเดียเริ่มเจรจากับสหรัฐฯ ตั้งแต่มีนาคมถึงเมษายน 2568 รวม 4 ครั้งแล้ว มีการเจรจาทั้งที่กรุงนิวเดลลีและวอชิงตัน มีทั้งรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ และรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ ร่วมในการเจรจาและประชุม คาดว่าจะมีการเจรจารอบสุดท้ายในเดือนกรกฎาคม 2568
ปัจจุบันอินเดียเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่แตกต่างกันตามประเภทสินค้า เช่น สินค้าเกษตร (แอปเปิ้ล, ถั่ว, ข้าวโพด) เก็บ 30 - 100% โดยเฉลี่ยอินเดียเก็บภาษีประมาณ 17% และเก็บอัตราภาษีเฉลี่ยสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 3.3%
ประเด็นที่อินเดียกับสหรัฐฯ กำลังเจรจาในขณะนี้ คือ
1.อินเดียลดภาษีนำเข้าสินค้า 55% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด (ลดภาษีนำเข้าจากมูลค่าการนำเข้าอินเดืย) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพลังงาน เครื่องจักร และอุปกรณ์ทหาร
2.อินเดียให้สถานะสหรัฐฯ Forward Most-Favoured-Nation (ประเทศที่ได้รับความเอื้อเฟื้อในอนาคต) หมายความว่า ถ้าในอนาคต อินเดียไปทำข้อตกลงลดภาษีให้ต่ำลงกับประเทศอื่น สหรัฐฯ จะต้องได้สิทธิเดียวกันทันที
3.อินเดียเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐ เช่น เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวโพด เป็นต้น
4.อินเดียลดภาษีนำเข้ารถยนต์เพื่อเปิดทางให้ Tesla
5.อินเดียลดมาตรการที่มิใช่ภาษี โดยเฉพาะมาตรฐานการนำเข้า
6.สหรัฐฯ ให้สิทธิสินค้าอินเดีย เข้าถึงตลาดสหรัฐฯ เช่น สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และอัญมณี
7.อินเดียต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษี 26%
แต่ประเด็นที่มีความอ่อนไหวต่ออินเดียมาก ได้แก่ การเปิดตลาด E-Commerce เพราะอินเดีย ไม่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติสามารถมีคลังสินค้าเองได้ หรือขายตรงถึงผู้บริโภคได้ ทั้งนี้เพื่อปกป้องผู้ประกอบการรายย่อย
กฎระเบียบคุณภาพสินค้านำเข้า อินเดียใช้มาตรฐานภายในประเทศที่สูง และแทนมาตรฐานสากล เช่น ISO สหรัฐมองว่าเป็น Non-Tariff Barrier ส่วนอินเดียเองก็กังวลว่าการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว จะทำให้สินค้าสหรัฐฯ ทะลักเข้ามาในอินเดียมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต
การเปิดตลาดสินค้าเกษตร อินเดียเป็นประเทศเกษตรกรรม การเปิดตลาดสินค้าเกษตรจะกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เพื่อลดผลกระทบภายในประเทศจากภาษีทรัมป์ อินเดียมีมาตรการ คือ
1.การกระจายตลาดส่งออก โดยทำการค้ากับยุโรป อาเซียน และตะวันออกกลางให้มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯและเร่งเจรจา FTA กับประเทศอื่น เช่น อังกฤษ UAE และยุโรป
2.ส่งเสริมขายในประเทศ กระทรวงพาณิชย์อินเดียออกมาตรการอุดหนุนต้นทุนโลจิสติกส์ ประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และสุดท้ายสนับสนุนโครงการ Make in India ต่อไปเพื่อให้เกิดการลงทุนและการค้าในประเทศ
ต้องติดตามดูครับว่า อินเดียจะเป็นประเทศแรกที่จบดีลกับสหรัฐฯ หรือไม่
บทความโดย : รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช
ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน