ในโลกธุรกิจที่แข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อชื่นชมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เป้าหมายแท้จริงของผู้บริหารองค์กร ต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือ "เป้าหมายมีไว้พุ่งชน" หรือ การบริหารแบบมุ่งผลลัพธ์ (Goal-oriented Management) ซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ และ นำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ผู้บริหารองค์กรอาจจะคุ้นเคย กับหลักการของการบริหารแบบมุ่งผลลัพธ์ เช่น
1. Management by Objectives (MBO) Peter Drucker บิดาแห่งการจัดการสมัยใหม่ เสนอแนวคิด MBO ที่เน้นการกำหนดเป้าหมายร่วมกันระหว่างผู้บริหารและพนักงาน โดยเป้าหมายที่ตั้งขึ้น จะถูกนำมาใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน และการประเมินผล MBO ช่วยให้ทุกคนในองค์กรมีความเข้าใจที่ตรงกัน มีความมุ่งมั่น และทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
2. SMART Goals เป้าหมายที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีลักษณะ SMART ประกอบด้วย Specific (เฉพาะเจาะจง)Measurable (วัดผลได้) Achievable (ทำได้จริง) Relevant (สอดคล้องกับวัตถุประสงค์) และ Time-bound (มีกรอบเวลา) เป็นแนวคิดการตั้งเป้าหมายให้มีประสิทธิภาพมากและช่วยให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
3. Objectives and Key Results (OKRs) Google นำแนวคิด OKRs มาใช้อย่างประสบความสำเร็จ โดยแบ่งเป็น Objectives เป้าหมายที่ท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจ และ Key Results ผลลัพธ์หลักที่วัดได้ และสะท้อนความสำเร็จ เป็นการตั้งเป้าหมายและการวัดผล ที่ช่วยให้องค์กรกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้
แนวทางการบริหารแบบมุ่งผลลัพธ์
1. เปลี่ยนมุมมองจาก "การทำงาน" เป็น "ผลลัพธ์"
ผู้บริหารสมัยใหม่ต้องหยุดมองที่ Input และหันมามองที่ Output แทน การทำงานหนักไม่ได้หมายถึงการได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่การทำงานอย่างชาญฉลาดและมุ่งเป้าหมายต่างหาก เช่น แทนที่จะวัดผลจากจำนวนชั่วโมงการทำงาน ให้วัดจากจำนวนโครงการที่สำเร็จตรงตามเป้าหมายและคุณภาพ
2. สร้างวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบ
การสร้าง Accountability Culture โดยการให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายของตนเอง สร้างระบบรางวัลที่เชื่อมโยงกับผลงาน รวมไปถึงใช้ Peer Review และ 360-degree Feedback เช่น องค์กรแห่งหนึ่งใช้ระบบ "Performance-based Management" ที่ให้ทีมงานกำหนดเป้าหมายและสัญญาว่าจะทำให้สำเร็จ จากนั้นให้เสรีภาพในการทำงานแต่ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์
3. ยอมรับความผิดพลาด และเรียนรู้ Fail Fast, Learn Faster
โดยการสนับสนุนให้ทีมงานลองทำสิ่งใหม่ สร้างระบบการเรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับเป้าหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น Startup กำหนดเป้าหมายการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใน 3 เดือน แต่พบว่าตลาดยังไม่พร้อม แทนที่จะฝืนดำเนินการ ผู้บริหารปรับเป้าหมาย เป็นการทำ Market Research เพิ่มเติม 2 เดือน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
เมื่อเป้าหมายมีไว้พุ่งชน คนต้องเปลี่ยนองค์กรจาก “ทำงาน” สู่ “ผลงาน” เริ่มด้วยการกำหนดเป้าหมายระดับองค์กร เช่น เป้าหมายเดิม คือ "การเพิ่มยอดขาย" ปรับเป็นเป้าหมายแบบมุ่งผลลัพธ์ เช่น เพิ่มยอดขายรวม 15% ภายในสิ้นปี 2025 โดยเน้นช่องทางออนไลน์ 25% และพัฒนาฐานลูกค้าใหม่ 1,000 ราย
หลังจากนั้น มีการถ่ายทอดเป้าหมายสู่ทีมงาน ด้วยการที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดเป้าหมายองค์กร ผู้จัดการฝ่ายแปลงเป้าหมายให้เหมาะสมกับแผนกตน หัวหน้าทีมกำหนดเป้าหมายส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับเป้าหมายแผนก เช่น ฝ่ายการตลาดหาผู้สนใจในสินค้าและบริการ 300 รายต่อเดือน
ฝ่ายขายเปลี่ยนจากผู้สนใจเป็นลูกค้า 20% ในขณะที่ฝ่ายบริการลูกค้าลด Customer Churn Rate เหลือ 5% ต่อด้วยการติดตามและประเมินผล ด้วยการใช้ KPI Dashboard แสดงความคืบหน้าแบบ real-time มีการจัดประชุมติดตามผลงานรายสัปดาห์ และรายเดือน หรือการใช้ Traffic Light System (แดง-เหลือง-เขียว) แสดงสถานะความสำเร็จ
การบริหารแบบมุ่งผลลัพธ์ ไม่ใช่เพียงแค่การตั้งเป้าหมาย แต่เป็นการสร้างระบบและวัฒนธรรม ที่ทำให้ทุกคนในองค์กรมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เป้าหมายที่ดีต้องเป็นเสมือนเข็มทิศที่ชี้นำทิศทาง และแรงบันดาลใจ ที่ขับเคลื่อนให้ทุกคนพุ่งชนไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ในยุคที่ธุรกิจต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นผู้ที่สามารถกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างระบบที่ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
"เป้าหมายมีไว้พุ่งชน" จึงไม่ใช่เพียงแค่คำปลุกใจ แต่เป็นปรัชญาการทำงาน ที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ เพราะผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้แค่ทำงาน แต่ต้องสร้างผลงานให้องค์กรประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
บทความ โดย...ผศ.ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4116