sustainability

เทรนด์ ESG และ อุปสรรคการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ต้องไม่ใช่ Greenwashing

เทรนด์ ESG แกนหลักสำคัญที่ธุรกิจต้องยึด และอุปสรรคการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน ที่ต้องไม่ใช่ Greenwashing

ปัจจัยแวดล้อมที่กลายเป็นวิกฤตของโลกและเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นับวันทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทุกภาคส่วนจะต้องเร่งรับมือ แก้ไข และหาทางป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดตามมารอบด้าน

 

ESG ย่อมาจาก Environment (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) เป็นการดำเนินธุรกิจที่มุ่งลดผลกระทบในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งมีบทบาทสำคัญ เป็นเทรนด์ที่ทุกองค์กรต้องให้ความใส่ใจและต้องปฏิบัติตามแนวทางนี้

 

ตลาดทุนหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืนมากที่สุด รวมถึงจัดสรรเงินลงทุนในกิจกรรมที่ถูกต้องและสามารถลดผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

 

การลงทุนด้าน ESG ในปัจจุบัน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยมูลค่า AUM (Asset under management) หรือมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดภายใต้การจัดการของบริษัทในไทยมีมากกว่า 48,000 ล้านต่อปี การลงทุนด้าน ESG ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นความท้าทาย ซึ่ง ESG ที่ถูกต้องและแม่นยำจะกุญแจสำคัญ 

 

ทว่าอุปสรรคใหญ่หนึ่งของการลงทุนด้าน ESG คือ ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยโดยบิดเบือนหรือเปิดเผยไม่ครบตามจริง จะกลายเป็น "การฟอกเขียว" หรือ Greenwashing

 

Greenwashing คืออะไร?
การฟอกเขียวคือ การอ้างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและการรักษ์โลกของบริษัท แต่อาจไม่ได้มีการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจริง เช่น ให้ข้อมูลเท็จหรือเกินจริงในรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัท เป็นต้น

 

ทำไมถึงสำคัญและเป็นเรื่องที่ต้องระวัง?
การให้ข้อมูลเท็จและบิดเบือนจะทำลายความน่าเชื่อถือของระบบการเปิดเผยข้อมูล ความถูกต้องและความแม่นยำของข้อมูล ซึ่งล้วนเป็นกลไกที่แสดงถึงประสิทธิภาพของตลาดในการกำหนดราคา

 

การเบี่ยงเบนความสนใจของผู้บริโภคของบริษัท ทำให้เชื่อว่าบริษัทเหล่านั้นได้ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และปัญหากำลังได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง ซึ่งบางบริษัทอาจไม่ได้ลดผลกระทบจริง

 

ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมระหว่างผู้เล่นในตลาดฯ บริษัทที่ทำการฟอกเขียว/แอบอ้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากไม่ได้รับโทษ กลับได้สิทธิประโยชน์เท่ากับบริษัทอื่นๆ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น

 

และในระยะยาว บริษัทที่มีการดำเนินการเรื่อง ESG จริง อาจถูกผลักออกจากตลาด เนื่องจากผู้บริโภคไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างว่าบริษัทไหนทำจริงหรือไม่จริง 

 

ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนากลไกป้องกันไม่ให้เกิดการฟอกเขียว เพื่อเป็นตัวอย่างและแนวทางให้กับบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดฯ และนอกตลาดฯ และลดความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure) และมุ่งเน้นคุณลักษณะใน 3 ด้าน 

1) ข้อมูลสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ (Availability)
2) ข้อมูลสามารถเปรียบเทียบกันได้ (Comparability)
3) ข้อมูลสามารถวางใจและเชื่อถือได้ (Reliability)

 

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการจัดทำคู่มือการรายงานความยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียน เพราะเชื่อมั่นว่า การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และโปร่งใส เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดความสนใจของผู้ลงทุน 

 

ข้อมูลด้านการเงิน (Financial Data) เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ข้อมูลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (Non-financial Data) เช่น ข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร ถือเป็นอีกข้อมูลสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน เนื่องจากภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการกำกับดูแลกิจการที่ดี ที่มีการเปลี่ยนแปลง และซับซ้อนมากขึ้นตลอดเวลา 

 

ฉะนั้นข้อมูลด้าน ESG ช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าใจถึงมุมมองของการประกอบธุรกิจในมิติที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียในศักยภาพของการดำเนินธุรกิจในระยะยาว

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Greenwashing ในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญเรื่องการเข้าถึงข้อมูล (Accessibility) โดยเฉพาะข้อมูลด้าน ESG จึงจัดทำแพลตฟอร์มกลางที่ยึดโยงข้อมูลด้าน ESG ในตลาดทุน ด้านหนึ่งเพื่อเพิ่มคุณภาพของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (Reliable Data) ในการนำไปวิเคราะห์ ตัดสินใจทางธุรกิจและการลงทุน 

 

ส่วนอีกด้านเพื่อรวบรวม เผยแพร่ และสร้างฐานข้อมูล ESG ของตลาดทุนไทย ดังนั้นสองหัวใจสำคัญคือการเปิดเผยข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลด้าน ESG ที่ครบถ้วน ถูกต้อง และโปร่งใส ทำให้ทั้งบริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุนเองมั่นใจได้ว่า Greenwashing จะลดน้อยลง และมีกิจกรรมที่สร้างผลกำไรและลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น และท้ายที่สุดเพื่อระบบนิเวศของภาคตลาดทุนไทยที่เข้มแข็ง และยั่งยืน

 

ธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 800 บริษัทในหลายอุตสาหกรรม จึงต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีกำไรควบคู่ไปกับการควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้บริหาร พนักงาน และคู่ค้า ที่ต้องมีทัศนคติในการทำธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่จะส่งผลต่อมูลค่าการเติบโตขององค์กรในระยะยาว 

 

จากเดิมหลายคนมองว่า ESG เป็นเพียงแค่กระแส Greenwashing หรือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ธุรกิจเท่านั้น แต่ยุคใหม่ ESG จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ทุกองค์กรต้องนำไปปรับใช้ และพนักงานทุกคนต้องเข้าใจ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า ทำให้เกิดสายงานที่เรียกว่า "ESG JOBS" ซึ่งสะท้อนผ่านสถิติที่น่าสนใจ อาทิ

• บริษัททั่วโลกเริ่มมองหาตำแหน่ง ESG JOBS เพิ่มขึ้นถึง 38.5% ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา
• แพลตฟอร์มหางานอย่าง LinkedIn มีการหาทักษะด้านความยั่งยืนเพิ่มขึ้นปีละ 8% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 

 

สำหรับในประเทศไทยก็มีสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า "ESG JOBS" กำลังกลายเป็นสายงานที่หลายองค์กรในภาคธุรกิจกำลังต้องการคนเก่ง (Talents) มาร่วมทีมจำนวนมาก 

 

นอกจากนี้ การสำรวจทิศทางอาชีพในอนาคต (Future of Jobs Survey) ของโลก โดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ World Economic Forum (WEF) รวบรวมมุมมองจาก 803 บริษัทซึ่งจ้างงานมากกว่า 11.3 ล้านคน ใน 27 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 45 ประเทศ พบว่า ตัวขับเคลื่อนหลักการเติบโตของงานภายใน 5 ปีนี้ (2566-2570) คือ การเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืน (Green transition) มาตรฐาน ESG ห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่น (Localization of supply chains)

 

สิ่งที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นของงานที่เกี่ยวกับความยั่งยืน การศึกษา และการเกษตร ในช่วงปี 2566–2570 อาชีพที่เกี่ยวกับความยั่งยืนในเชิงธุรกิจคือ ทำแบรนด์ให้ยั่งยืน ไม่ใช่แค่การรักษ์โลก แต่ต้องทำให้องค์กรเติบโต ไม่ใช่แค่กำไรระยะสั้น แต่ต้องความยั่งยืนในระยะยาว 

 

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า แต่เดิมฝ่ายที่ดูแลเรื่องความยั่งยืน รักษ์โลก รักสิ่งแวดล้อม เป็นหน้าที่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ คือการทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรเพียงอย่างเดียว 

 

ทว่า ทุกวันนี้เรื่อง Green ไม่ใช่การสร้างภาพลักษณ์อีกต่อไป แต่ต้องอยู่ในตัวสินค้า ฝังในธุรกิจ รูปแบบการทำงาน และโครงสร้างการทำงานจะต้องมีแผนก ESG ขึ้นมา เพื่อดูแลเรื่อง Governance โดยเฉพาะ หรือที่เรียกว่า Green Job

 

Green Job จะมีขอบเขตมากกว่าเรื่องรักษ์โลก รักสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องสังคมที่จะทำอย่างไรให้สังคมอยู่ด้วยกันอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม และมีหลักธรรมาภิบาล เป็นที่มาของงานรูปแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นและโตขึ้น ฉะนั้นในบริษัทใหญ่ๆ จึงเริ่มมีแผนกด้านความยั่งยืน

 

ESG จึงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่ ที่จะมีส่วนสำคัญในการฝ่าวิกฤตโลก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น และจะมีความเสี่ยงตามมารอบด้าน

 

อ้างอิง: 
• https://setsustainability.com/libraries/1159/item/-greenwashing
• https://twitter.com/Office04TH/status/1735623048966066497
• https://www.bangkokbiznews.com/environment/1104708